เรื่อง จุดดับบนดวงอาทิตย์ โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์


“คิดถึงคุณงามความดีที่ท่านเคยทำเพื่อพลเมืองและประเทศของเราเอาไว้นะครับ จิตอันเป็นกุศลจะช่วยนำทางท่านได้ แต่ทางลัดซึ่งท่านชอบใช้อยู่เสมอนั้น ในยามนี้ทางลัดของท่านก็คือการภาวนาคำว่าอรหัง รีบภาวนาเถอะครับ บาปของท่านจะเบาบางลง จนมีสภาพไม่ต่างจากขนนกในแดนสุขาวดี ซึ่งท่านกำลังมุ่งหน้าไป ภาวนาให้ขึ้นใจไว้ครับ อรหัง อรหัง”
มันช่างซื่อสัตย์ต่อข้าเสียเหลือเกิน แล้วบรรดาเมียทั้งหลายของข้าล่ะ ลูก ๆ ของข้าล่ะ พวกมันหายหัวไปไหนกันหมด อย่าปล่อยให้ความเปล่าเปลี่ยวห่มคลุมร่างของข้าไว้เช่นนี้เลย แต่ช่างหัวพวกมันเถอะ สายเกินไปแล้วที่ข้าจะไขว่คว้าหาความอบอุ่นในครอบครัว เมื่อถึงเวลาต้องเดินทาง ข้าคือดวงอาทิตย์ของพวกมัน ดวงอาทิตย์ของทุกคน มีแต่พวกมันจะต้องหนาวสั่นยามข้าลาจากไกล หวังว่าครั้งนี้จะเป็นการไปสบายอย่างแท้จริง ข้าคงได้จากไปโดยไม่ต้องถูกกระชากวิญญาณกลับมาอีก ด้วยฝีมือของหมอคนใดคนหนึ่งที่แอบเป็นพวกเสรีนิยม และมันต้องการทรมานข้าเล่นเหมือนที่แมวชอบทำกับหนู แต่เสียงคุ้นหูนั่นช่างแผ่วเบาประหนึ่งกู่ร้องมาจากสถานที่อันห่างไกล ท่ามกลางความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย เมื่อใกล้จะต้องเดินทางตามลำพัง ข้าจะท่องไปบนถนนที่ไม่มีบริวารคอยรองมือรองตีน คอยล้อมหน้าล้อมหลัง ข้ายอมรับว่าความรู้สึกนี้ทำให้ข้านึกหวาดกลัวจนตัวสั่น ข้าตัวสั่นเทาเหมือนหนาวเหน็บเสียเต็มประดา มันผิดวิสัยชายชาตินักรบ ช่างน่าละอายเหลือเกิน หรือว่าความตายได้มายืนรออยู่ตรงปลายเท้าของข้าแล้วอย่างเป็นทางการ จะไม่มีการซักซ้อมอีกต่อไป มันจะไม่ใช่การหยอกล้อยั่วเย้าเหมือนเช่นครั้งก่อน ๆ ความจริงนายพลกระดูกเหล็กอย่างข้าคงยังไม่ตายง่าย ๆ หรอกกระมัง ข้าพยายามนึกปลอบใจตัวเองไปตามสัญชาตญาณ อย่างน้อยก็ในนาทีนี้ ข้ารู้ดี ในหนึ่งนาทียังมีเวลาแยกย่อยออกไปได้ตั้งหกสิบวินาที มีเวลาเหลือเฟือสำหรับข้า ถูกต้อง ข้ายังไม่อยากตาย ข้าพยายามเชื่อเสียงนั้น แต่เสียงของแมลงหวี่นั่นก็ทำให้ข้านึกอยากยกมือผลักเจ้าความน่ารำคาญข้างหูให้กระเด็นออกไปไกล ทว่ามือทั้งสองกลับไม่ยอมทำตามความคิดของข้าเลย ราวกับว่ามันไม่ใช่มือของข้าอีกต่อไปแล้ว ข้าจึงได้แต่นอนสงสัยว่า การนึกถึงสิ่งดีงามก่อนสิ้นใจจะสามารถนำทางดวงวิญญาณของข้าไปแปดเปื้อนแดนสุขาวดีได้จริงล่ะหรือ หลังจากที่ทำความชั่วมาทั้งชีวิต แม้จะเพื่อพลเมืองอันเป็นที่รักก็ตาม มันคงเป็นเพียงแค่นิทานปรัมปราไว้หลอกญาติมิตรของผู้ตายตามความเชื่อสามัญในสังคม เพื่อที่คนข้างหลังเหล่านั้นจะสามารถหายใจต่อไปได้ด้วยความหวัง ใช่ อย่างน้อยก็ยังคงมีโลกหลังความตายให้ทุกคนมีตัวตนอยู่ มันจะไม่ว่างเปล่าเกินไปนัก จนกว่าจะถึงวันที่แต่ละคนต้องพยายามเอ่ยคำว่าลาก่อนออกมาจากริมฝีปากอันเขียวอื๋อนั่นแหละ โลกหลังความตายจึงจะเป็นความจริงโดยไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป และนี่ย่อมเป็นสิ่งชวนหวาดหวั่นมากที่สุด ไม่มีใครอยากจากโลกนี้ไปสู่โลกลึกลับนั้น ทุกคนต่างก็ต้องการโลกที่ตนคุ้นเคย ลาก่อน ลาก่อน มันคงจะเป็นการเปล่งเสียงครั้งสุดท้ายอย่างยากเย็น เสียงของข้า มันเป็นเสียงของข้าเอง เบาหวิวจนไม่มีใครได้ยิน หรือแม้กระทั่งคิดอยากจะรับฟัง เพราะเสียงนี้คือเสียงของความตาย
“อรหัง อรหัง”
ลาก่อน ลาก่อน ข้าเกลียดชังคำอำลานี้ และเกลียดชังทุกสิ่งที่ทำข้าเป็นทุกข์ อยากไปให้ไกลห่างจากมัน แต่ความเกลียดชังเหล่านี้มิใช่หรือ ที่กัดกินจิตใจผู้คนในประเทศของข้ามาช้านาน เป็นจอกหนึ่งของยาพิษที่ถูกจิบครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่เคยเหือดแห้ง ผู้คนเหล่านั้นจึงดิ้นทุรนทุรายอยู่ในทะเลเลือดแห่งความชิงชังต่อกัน สันติภาพล่มสลายเพียงสบตา เมื่อล่วงรู้ถึงความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไปของอริ มนุษยธรรมเป็นเพียงโลกอันสวยงามในมโนสำนึกของคนสติวิปลาศ ประเทศของข้าต้องถอยหลังครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อสังเวยแด่ความเกลียดชังของพวกเขา ของพวกเรา และข้าคือมนุษย์ผู้ซึ่งนำคนทั้งสองฝ่ายไปสู่บาปนั้น เพื่อเดินหน้าทะลุปัญหาไปให้จงได้ ข้าคิดอย่างโง่เขลาว่าการจับกุม การลงโทษ และการสังหารเท่านั้น จึงจะนำมาซึ่งความก้าวหน้า ความรุ่งโรจน์ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อพลเมืองอันเป็นที่รักของข้า ไม่ว่าพวกเขาจะยืนหยัดอยู่เคียงข้างฝ่ายไหนก็ตาม โอ้ ข้าได้ยินเสียงเพลงนั่นอีกแล้ว สวัสดีแล้วลาก่อน ลาก่อน สาวงามของข้า ข้ากำลังจะออกไปรบในสมรภูมิสุดท้ายด้วยดาบปลายปืนซึ่งสลักชื่อของเธอไว้เป็นรอยลึก ถ้าข้าตายด้วยดาบปลายปืนของข้าศึกเยี่ยงทหารกล้า ได้โปรดฝังศพของข้าไว้ในสมรภูมินั้น และเก็บดอกไม้ที่งอกงามบนหลุมศพของข้าไปฝากเธอด้วย อย่างที่เคยกล่าวไว้ในบทเพลงที่ข้าชอบฟังเสมอ บอกเธอว่าข้าไม่เคยเป็นทาสของใครนอกจากเธอ บาปของข้าเท่านั้นเองที่ทำตัวเป็นนาย และทำตัวเหนือพลเมืองทั้งหมดราวกับว่าพวกเขาเป็นเพียงทาส ส่วนข้าคือนายผู้ซึ่งจะปฏิบัติตนอย่างไรก็ได้ วันเวลาอันยาวนานในสงครามกลางเมืองได้ทำให้ข้าหลงลืมว่าเกิดมาเพื่อรับใช้พวกเขา พลเมืองที่รัก หาใช่ให้พวกเขารับใช้ข้าไม่ ถ้อยคำอำลาครั้งสุดท้ายของข้าคงจะทำให้พวกเขามีความสุข เสียงก่นด่า เสียงสบถอันหยาบเถื่อน จะเป็นดั่งถ้อยคำอวยพรแด่การเดินทางครั้งสุดท้ายของข้า ข้าจะไม่โกรธเกลียดอีกแล้ว คิ้วที่ขมวดเข้าหากันเสมอจะผ่อนคลายชั่วนิรันดร์ ข้าขอให้อภัยแก่ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขากระทำต่อข้าด้วยความเกลียดชังทั้งปวง พวกเขากำลังเป็นอิสระจากโซ่ตรวนที่ข้าเคยจับพวกเขาคุมขังเอาไว้ในคุกที่ลึกที่สุด ทว่าข้ากลับไม่เคยสามารถกักขังจิตวิญญาณและความคิดของพวกเขาไว้ได้เลย พวกเขาคือพลเมืองแห่งความเสรีโดยแท้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถูกจองจำ คนที่ถูกเนรเทศ คนที่ต้องลี้ภัย หรือแม้แต่ถูกประหาร ด้วยกฎหมายที่ข้าให้ลูกสมุนร่างขึ้นมารับใช้ข้าอย่างแยบยลและตื้นเขิน ในกาละและเทศะที่ชวนอัปยศ ทว่าสุดท้ายแล้ว ความคิดของพวกเขาก็ไม่เคยจากไป ไม่เคยตาย กลับเป็นหนามอยู่ในหัวใจของข้าเสมอ ข้าจึงมีความสุขทุกครั้งที่ได้เจ็บปวด มีแต่เพียงความเจ็บปวดเท่านั้น ที่เป็นการลงทัณฑ์เบื้องต้นต่อความชั่วช้าของข้า มันดีแล้ว เหมาะสมแล้ว ถูกต้องแล้ว โดยไม่ต้องมีใครมากล่าวรับรองยืนยันด้วยซุ่มเสียงอันประจบสอพลอต่ออำนาจของข้าเลย พวกเจ้าจงเกลียดชังข้าไปจนตราบชั่วฟ้าดินสลาย เกลียดชังเถอะ ถ้ามันจะทำให้พวกเจ้ามีความสุข แต่จำไว้ในตอนสุดท้ายว่า ความเกลียดชังไม่อาจเยียวยาหัวใจของใครได้ ไม่มีชัยชนะ ไม่มีสันติสุข หากไม่รู้จักให้อภัย ดังนั้นถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงแล้ว ได้โปรดลืมมันก่อนที่พวกเจ้าจะเดินทับรอยเท้าของข้า พวกเจ้าอาจคิดว่าช่างเป็นการเสียเปรียบที่จะลืม แต่จงลืมเพื่อให้อภัย หลังจากถูกโบยตีอย่างหนักจากแส้ของข้า ลืมมันให้ได้ แล้วพวกเจ้าจะมีความสุข แต่หากว่ามันไม่เพียงพอต่อหัวใจที่แหลกสลายของพวกเจ้าก็จงสาปแช่งวิญญาณบาปของข้าต่อไป ข้าจะไม่โกรธพวกเจ้าเลย พลเมืองทั้งหลาย ลาก่อน ขอให้สันติสุขเป็นของพวกเจ้า และเฉลิมฉลองการจากไปของข้าด้วยบทเพลงที่ทุกคนชื่นชอบ
“อรหัง อรหัง”


ความคิดเห็น