เรื่อง ชายผู้ถูกฟ้าผ่าเป็นงานอดิเรก โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์


ท้องฟ้าเหนือสลัมแห่งมหานครยังคงเป็นสีเทาขมุกขมัวตามปกติ ไม่มีเมฆก้อนเล็กหรือก้อนใหญ่ลอยเกะกะอยู่เลย ไอ้โบ้แหงนหน้าคอตั้งบ่ามองดูท้องฟ้าอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะก้าวออกจากบริเวณรั้วบ้านไม้เก่า ๆ ที่มันอาศัยอยู่กับยายเพี้ยน ร่างเปลือยของมันซึ่งเคยซีดขาวคล้ายสีของเต้าหู้ ในเวลานี้ผิวของมันกลับดูเขียวอื๋อไม่ต่างจากผิวของทารกที่สิ้นใจมานานแล้ว
“หวังว่าวันนี้จะไม่มีใครต้องมาตายเพราะถูกฟ้าผ่าหรอกนะ” ไอ้โบ้เปรยออกมาพอให้ตัวเองได้ยิน ก่อนจะรวบรวมความกล้า แล้วออกวิ่งเหยาะ ๆ ไปบนทางราดยางมะตอยแคบ ๆ โดยลงน้ำหนักบนอุ้งเท้าที่เปลือยเปล่าเช่นเดียวกัน ผมเผ้าค่อนข้างยาวของมันซึ่งตามปกติมักจะรวบรัดเอาไว้ย่างเป็นระเบียบ บัดนี้ได้ถูกปล่อยสยายยืดยาวออกไปตามแรงลมเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความอิสระเสรี สายตามุ่งมั่นคู่นั้นเขม้นมองไปข้างหน้าโดยไม่สนใจชิ้นเนื้อเหี่ยว ๆ ที่ห้อยโตงเตงแกว่งไกวไปมายามเคลื่อนไหว แม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้บรรดาพวกสาว ๆ ต้องยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตา พร้อมกันนั้นก็กรีดร้องวีดว้ายและเผลอหัวเราะคิกคักไปด้วย ทว่าจิตใจของไอ้โบ้ในขณะนั้น เอาแต่จดจ่อรอคอยสิ่งที่เบื้องบนจะประทานลงมาเหมือนเช่นทุกครั้งตามความเชื่อของพวกชาวบ้าน ไอ้โบ้หวังว่าสายฟ้าจะฟาดใส่ร่างของมันโดยเร็วเพื่อพิสูจน์ความจริงให้ปรากฏแก่สายตาของเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำลายความเชื่อเก่า ๆ ลงได้ การทดลองที่ดีจะทำให้ความจริงเผยออกมา และทุกคนต้องยอมรับโดยไม่อาจหลบเลี่ยง
ในความคิดของไอ้โบ้ การที่ใครหรืออะไรสักอย่างหนึ่งจะถูกฟ้าผ่านั้น ย่อมเป็นเรื่องบังเอิญอย่างไม่ต้องสงสัย มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเคราะห์ร้าย ชะตากรรม การโคจรของดวงดาว หรือการสบถสาบานแต่อย่างใด การถูกฟ้าผ่าจึงเป็นเรื่องน่ากลัวตรงที่ไม่อาจคาดการณ์ หรือทำนายทายทักได้ว่าผู้ใดจะถูกสายฟ้าฟาดใส่เปรี้ยงปร้างเอาตอนไหน เรื่องนี้อาจเกิดขึ้นในเวลาที่ผู้โชคดีกำลังเป็นทุกข์แสนสาหัส หรือในทางตรงกันข้าม อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ผู้โชคร้ายสักคนหนึ่งกำลังมีความสุขอยู่ก็เป็นได้
นับจากประสบการณ์หลายหมื่นปีของมนุษย์ตั้งแต่ยุคหินเก่าเป็นต้นมา ไอ้โบ้สรุปเรื่องราวทั้งหมดจากในหนังสือที่มันเคยอ่าน ได้ความว่าใครถูกฟ้าผ่าเข้าจัง ๆ ก็คงยากจะเอาชีวิตรอด ส่วนใหญ่เสียชีวิตแทบทั้งหมด แต่ถ้าเพียงคนผู้นั้นรอดมาได้ เป็นชีวิตที่ถูกง้างและดึงออกจากปากแห่งความตาย คนผู้นั้นก็จะไม่มีวันลืมรสชาติของการถูกฟ้าผ่าได้เลย นี่คือรสชาติประหลาดพิสดารที่จะอยู่คู่กับคน ๆ นั้นไปชั่วชีวิต เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับไอ้โบ้ รสชาติของสายฟ้าที่ฟาดใส่มันตรงเป้าอย่างเหมาะเหม็ง กระแสไฟฟ้าหลายแสนแอมแปร์ซึ่งมีความต่างศักย์ระดับพันล้านโวลต์แล่นผ่านร่างของมันไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าการกระพริบตา จนเส้นผมลุกไหม้ ขนคิ้วติดไฟ ผิวหนังบางส่วนดำเกรียม ทว่ามันไม่ตาย มันรอดมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ในความเชื่อของชาวบ้าน ไม่มีความหวาดกลัวอ้อยอิ่งอยู่ภายในร่างของมันเลย มันกลับรู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก รสชาติของสายฟ้าที่ฟาดใส่ร่างช่างซาบซ่านยิ่งกว่ารักแรกพบ ความรู้สึกอันงดงามแบบสามัญที่ไอ้โบ้เคยมีโอกาสได้สัมผัสรับรู้ ก่อนจะฉลาดขึ้นภายหลังการอกหักครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งทำให้มันมีประสบการณ์ชีวิตมากพอสำหรับการทำความเข้าใจโลกและชีวิต
ไอ้โบ้บอกตัวเองว่า น่าเสียดายที่จำความรู้สึกครั้งแรกเมื่อถูกฟ้าผ่าไม่ได้เลย คงเป็นเพราะว่าในตอนนั้นมันยังนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็นอยู่ในครรถ์ของแม่นั่นเอง แต่มันก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ แท้จริงแล้วมันสมควรจะเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชิงเจ้าความบังเอิญอันโหดร้าย อย่างไรก็ตาม มันกลับเสพติดความรู้สึกของการถูกฟ้าผ่าในทันทีที่จำความได้ ซึ่งน่าจะเป็นตอนที่มันอายุประมาณสามขวบแล้ว วินาทีนั้นฮอร์โมนอะไรต่อมิอะไรก็พากันหลั่งไหลออกมา และสูบฉีดซ่านซ่าไปทั่วเรือนร่างเล็ก ๆ ของมัน ความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ว่ายิ่งใหญ่กว่าการสำความเร็จความใคร่ของมนุษย์กี่ร้อยกี่พันเท่า และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มันก็หายใจเข้าออกเป็นการโดนฟ้าผ่า มันเฝ้ารอความบังเอิญให้เกิดขึ้นทุกลมหายใจก็ว่าได้ สายฟ้ากลายเป็นของเล่นของมันตามประสามนุษย์ที่ย่อมจะต้องมีของเล่นอะไรสักอย่างหนึ่งไว้เพื่อความสนุก รวมถึงฆ่าเวลาที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือกว่าจะตายจากโลกนี้ไป ต่อให้เป็นคนเคร่งเครียดหรือเข้าถึงสัจธรรมระดับสูงแค่ไหนก็ตาม มันซึ่งเป็นเพียงมนุษย์สามัญคนหนึ่งจึงมักจะทำตัวเป็นสายล่อฟ้าอยู่บ่อยครั้ง ด้วยการวิ่งไปตามตรอก ซอย ท้องถนน จากสลัมสู่โลกภายนอก จากโลกภายนอกหวนคืนสู่โลกเล็ก ๆ ของมัน เพื่อแสวงหาประสบการณ์ที่มีแต่คนซึ่งโดนฟ้าผ่าเท่านั้นจึงจะเข้าใจได้ แม้จะต้องแลกกับการถูกมองด้วยสายตาแปลกประหลาดของชาวบ้าน ถึงกระนั้นมันก็ไม่เคยถือสาหรือโกรธเคืองคนเหล่านั้นเลย มันพยายามเข้าใจความเป็นไปของจิตใจมนุษย์เสมอ ผู้คนในสลัมเคยเห็นมันโดนฟ้าผ่าใส่จัง ๆ หลายครั้งแต่ไม่ตาย จึงไม่แปลกที่มันจะกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาของทุกคนในสลัมเก่าแก่แห่งนี้
ยายเพี้ยนผู้เป็นยายแท้ ๆ ของไอ้โบ้เคยเล่าให้ฟังว่า มันโดนฟ้าผ่าครั้งแรกในขณะกำลังออกมาดูโลก เวลานั้นถุงน้ำคร่ำแตกแล้วตั้งแต่ที่บ้าน พ่อกับแม่ของมันจึงรีบเดินทางไปโรงพยาบาล แต่กลับต้องเสียชีวิตทันทีที่หน้าโรงพยาบาลในขณะก้าวลงจากรถแท็กซี่ พร้อมกันกับชายวัยกลางคนผู้เป็นพนักงานเวรเปล หมอรีบผ่าเอามันออกจากท้องของแม่ที่ร่างกายบางส่วนไหม้เกรียม ทุกคนประหลาดใจที่มันรอดชีวิตและแข็งแรงดี ยายตั้งชื่อให้มันว่า “ฟ้าใส” (แต่เพื่อน ๆ ซึ่งภายหลังถูกฟ้าผ่าตายไปหลายคนชอบเรียกมันว่า “โบลท์” ภายหลังเพี้ยนเป็น “โบ้” ) เพื่อเป็นการแก้เคล็ดตามความเชื่อของทวดของทวดของยาย ซึ่งเคยมีพื้นเพอยู่แถวบ้านเชียง ยายเล่าด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ ทำให้มันไม่แน่ใจว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่
“บางทีอาจจะไม่มีอะไรจริงยิ่งไปกว่าการถูกฟ้าผ่าอีกแล้ว” ไอ้โบ้พูดกับตัวเอง
เมื่อไอ้โบ้เติบโตขึ้น มันก็ถูกฟ้าผ่ามาโดยตลอด ปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้เกิดขึ้นทุกปี ๆ ละเจ็ดหรือแปดครั้ง บางปีพิเศษหน่อยมันอาจถูกฟ้าผ่าทุกเดือน จนกระทั่งกลายเเป็นงานอดิเรกที่ยากแก่การปฏิเสธ ส่วนงานประจำของมันกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ถูกต้องแล้ว การทำเต้าหู้จำนวนมากเป็นงานน่าเบื่อเสมอนั่นแหละ ไอ้โบ้คิด นอกจากนั้นมันยังต้องช่วยยายเพี้ยนทำงานบ้านเหมือนคนรับใช้ทั่วไปอีกด้วย ความจริงมันอยากออกไปทำอาชีพอื่นอยู่เหมือนกัน ตามที่มีคนจากคณะมายากลหรือคณะตลกเคยมาชักชวน บางครั้งก็เป็นพวกทำรายการข่าวพยากรณ์อากาศ หรือรายการบันเทิงทางโทรทัศน์ แต่ทุกครั้งไอ้โบ้ปฏิเสธไปอย่างง่าย ๆ มันรู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ เนื่องจากทุกคนย่อมกลัวถูกฟ้าผ่าตายด้วยกันทั้งนั้น หากต้องนั่งหรือยืนอยู่ใกล้กับมันเป็นเวลานาน ๆ
สมัยก่อนเคยมีเพื่อนหลายคนเสียชีวิตหลังจากชักชวนไอ้โบ้ให้มาเล่นขี่ม้าส่งเมืองหรือมอญซ่อนผ้า มันลองคิดดูแล้ว เรื่องนี้น่าเศร้าก็จริง แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ หาได้เป็นความตั้งใจอันเหี้ยมโหดของมันไม่ แต่ชาวบ้านเลือกที่จะบังคับลูกหลานให้อยู่ห่างไกลจากตัวประหลาดอย่างมันราวกับเป็นตัวเสนียดจัญไร ถ้าเป็นสมัยโบราณมันคงถูกลอยแพหรือไม่ก็จับถ่วงน้ำจนสิ้นชื่อไปนานแล้ว ไม่มีใครยอมรับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นโดยความบังเอิญเหล่านี้เลย และนี่ยังนับเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มันต้องออกจากโรงเรียนกลางคันอีกด้วย ส่งผลให้มันต้องศึกษาด้วยตนเองมาโดยตลอด และคงเป็นเช่นนี้ไปชั่วชีวิต
ในเวลาต่อมา เมื่อมีใครบางคนเริ่มสังเกตเห็นไอ้โบ้สวมใส่สร้อยคอทองคำ (ยายเพี้ยนเคยบอกว่าเป็นสร้อยของแม่) พวกชาวบ้านจึงตั้งสมมุติฐานว่าน่าจะเป็นเพราะสร้อยทองนี่เองที่ทำให้เกิดฟ้าผ่า ดังนั้นเพื่อตัดความรำคาญมันจึงถอดสร้อยคืนให้ยายเพี้ยน โดยมีข้อแม้ว่าห้ามนำไปจำนำอย่างเด็ดขาด แต่ฟ้าก็ยังคงผ่าใส่ร่างของมันอยู่ดี


ความคิดเห็น