โซนาต้าคลับ



หลังจากวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านแสงจันทร์ราวกับว่านี่คือการเดินทางอันไม่มีที่สิ้นสุด แต่ด้วยความพยายามของคนขับรถแท็กซี่ผู้มีน้ำใจ เขาก็พบบ้านหลังนั้นจนได้ มันเป็นทาวน์เฮาส์สองชั้นขนาดกะทัดรัดหลังหนึ่ง เลขที่บ้านตรงกับข้อมูลที่ค้นหามาจากอินเตอร์เน็ต เขายิ้มโล่งอก มีความหวังมากขึ้น เมื่อเห็นแสงไฟสีเหลืองนวลส่องสว่างอยู่ภายในตัวบ้าน รีบจ่ายเงินค่าโดยสาร ก่อนจะประคองห่อกระดาษสีน้ำตาลค่อนข้างใหญ่แต่แบนก้าวลงจากรถ

ฝนซาเม็ดแล้ว บัดนี้เหลือเพียงละอองฝอยเล็ก ๆ เป็นประกายสะท้อนแสงจากโคมไฟตรงหัวเสาประตูรั้ว รถแท็กซี่แล่นจากไปตอนไหนเขาแทบไม่รู้สึกตัว  ได้แต่ยืนงงเหมือนคนเซ่อ  เท้าทั้งสองไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อย่างใจคิด  เขารำพึงว่าจะกลัวอะไรกันเล่า  กลัวการปฏิเสธอย่างนั้นหรือ  บางทีเขาคงกลัวว่านี่อาจไม่ใช่บ้านของเธอ ผู้ซึ่งจะเป็นสะพานพาเขาข้ามไปสู่จุดหมายแห่งความปรารถนาอันเร้นลับ  ดูเหมือนเขาจะไม่แน่ใจในทุกสิ่งทุกอย่าง  ความหวาดกลัวเริ่มจู่โจมเข้าเล่นงานจนแทบตั้งตัวไม่ติด เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วกัดฟันก้าวเข้าไปชิดประตูรั้วซึ่งเป็นเพียงลูกกรงเหล็กสูงเสมอศีรษะ เขายกมือขึ้นกดกริ่งไฟฟ้าด้วยอาการลังเล มีเสียงแว่วออกมาจากภายในตัวบ้าน นี่คือการเฝ้าคอยด้วยใจระทึกจนเป็นความทรมาน เขาคิด ไม่ผิดกับนักโทษอดทนรอคอยการประหารอันน่าสะพรึงกลัว  เวลาหดสั้นลงเหมือนแท่งเทียนที่ลุกไหม้  ตะแลงแกงอยู่ตรงหน้าห่างออกไปแค่เหลือบตาก็เห็น  เขารู้สึกใจสั่นผิดปกติ

จังหวะนั้นเองที่เธอปรากฏตัวขึ้นตรงรอยแหวกของผ้าม่านสีเขียวเนื้อหนาหลังบานประตูกระจก ใบหน้าอวบอูมแสดงความตระหนกแกมประหลาดใจออกมา  จากนั้นก็ยืนนิ่งจังงังอยู่นาน  นานเสียจนกระทั่งเขาเกือบคิดว่าเธอจะยืนอยู่เช่นนั้นตลอดไป   แต่ในที่สุดบานประตูกระจกก็เลื่อนเปิดออกเล็กน้อยพอให้เจ้าของบ้านเดินออกมาได้  เขาเห็นเธอชะงักอีกครั้งและยังคงมองมาทางเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาเช่นเดิม 

“พี่โอม...” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นช่างแผ่วเบาจนฟังคล้ายเสียงครางของสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในแสงสลัว

“สวัสดีจ๋า ขอบคุณนะ...ที่ยังจำพี่ได้”

ภายในบ้าน  ท่ามกลางความเงียบจนได้ยินเพียงเสียงแมลงกลางคืนแว่วมาจากพงหญ้าที่อยู่ห่างไกลบริเวณริมทางรถไฟ  เธอกับเขานั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกโดยหันหน้าเข้าหากัน  มีเพียงโต๊ะกลางเตี้ย ๆ คั่นกลาง  เขามองไปรอบห้อง  และมาจบลงที่ใบหน้าของเธออย่างสำรวจตรวจตรา ยามนั้นอีกฝ่ายหนึ่งกลับเฝ้ามองมือทั้งสองข้างของตัวเองราวกับไม่เคยพบเห็นมาก่อน

บ้านของเธอตกแต่งอย่างเรียบง่าย  มีเพียงเครื่องเรือนและข้าวของไม่กี่ชิ้น ทำให้ดูโปร่งสบายตาผิดกับบ้านของคนไทยทั่วไปซึ่งมักจะรกไปด้วยข้าวของสารพัด บนผนังบ้านมีภาพถ่ายแขวนไว้หลายสิบรูปอย่างเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่เป็นภาพของเธอถ่ายคู่กับเพื่อนเก่าคนหนึ่งของเขาเอง ท่าทางที่สนิทสนมกันเป็นพิเศษทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ  แต่ก็เก็บความสงสัยเอาไว้โดยไม่คิดจะเอ่ยถาม

เขาเหม่อมองสีเขียวอ่อนของผนังบ้านและกระเบื้องปูพื้น อันเป็นบรรยากาศที่ปกคลุมอยู่ภายในบ้านหลังนี้ มันทำให้เขาเริ่มรู้สึกสงบขึ้นมาได้บ้าง  จนสังเกตเห็นว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่มุมห้องด้านหนึ่งกำลังเปิดใช้งานอยู่ โทรทัศน์ก็เปิดทิ้งเอาไว้เช่นกัน  ตอนนี้มันกำลังรายงานข่าวภาคค่ำ เขาคิดว่าที่นี่คงไม่มีใครอื่นอีกแล้ว  หรือถ้ามีก็คงจะอยู่กันชั้นบนโน่น  แต่ทำไมบ้านถึงได้เงียบเชียบเสียจนเขารู้สึกว่า  เธอกับเขาอยู่ด้วยกันตามลำพัง

“ธุระอะไรคะ ที่ทำให้คุณโอม...ศิลปินผู้มุ่งมั่น สามารถบากบั่นเดินทางมาถึงที่นี่ได้ หลังจาก...”

ถ้อยคำของเธอแฝงน้ำเสียงประชดประชัน นี่คือลักษณะประการหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เหมือนกับเค้าหน้าของเธอนั่นแหละ ใบหน้าสามเหลี่ยมรูปหัวใจดูอวบอูมขึ้นมาบ้าง รูปร่างก็ไม่บอบบางเหมือนแต่ก่อน  แลดูมีเนื้อมีหนังสมกับวัยของเธอ  แต่เรือนผมดำขลับยังคงยาวเหมือนเช่นในอดีต เพียงมุ่นเป็นมวยไว้อย่างเรียบง่ายเท่านั้น

“พี่รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่จ๋าไม่คาดคิด แต่พี่ก็ต้องมาที่นี่เพื่อ...เอาละ  ก่อนที่เราจะคุยกันถึงเรื่องอื่น  พี่อยากจะ...อยากจะขอโทษจ๋าด้วยตัวเอง แม้ว่า...มันอาจสายเกินไป” เขาก้มหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเบาราวกระซิบและขาดเป็นห้วง ๆ “ยกโทษให้พี่ด้วย”

มีความว่างเปล่าเกิดขึ้นในบรรยากาศอันเงียบงันชั่วขณะหนึ่ง  ทว่าไม่นานนักเขาก็ได้ยินเธอเอ่ยขึ้นว่า “พี่โอมไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้หรอกค่ะ เหตุการณ์นั้นมัน...มันนานเสียจนป่วยการที่จะต้องมีใครมาเอ่ยคำขอโทษ นานเหลือเกิน นานจนจ๋าแทบจะคิดว่าเราไม่เคยรู้จักกัน หรือตายจากกันไปนานแล้วด้วยซ้ำ”

เขาเงยหน้าขึ้น จึงเห็นว่าเธอกำลังนั่งก้มหน้าอยู่ มือขาวซีดของเธอประสานกันอยู่บนตัก  เขาได้แต่มองและไม่อาจพูดอะไรออกมา  

เขาทำผิดต่อเธอไว้มากน้อยแค่ไหนกันนะ  เขาถามตัวเองครั้งหนึ่งเขาเคยทำลายชีวิตของเด็กสาวที่เปี่ยมไปด้วยความฝันใช่ไหม  เธอไม่ร่าเริงเหมือนเดิม  แววตาใส ๆ และรอยยิ้มซื่อบริสุทธิ์ก็หายไปหมดแล้วเช่นกัน  ชีวิตของเธอในความรู้สึกของเขายามนี้เหลือเพียงความชืดชาให้สัมผัส  แม้พยายามคิดในแง่ดีว่านี่อาจเป็นเพียงเรื่องหนึ่งที่เขารู้สึกไปเอง  เวลาผ่านไปนานขนาดนั้นเธอน่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้เหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ  อีกทั้งควรมีความสุขตามสมควร  แต่คิดอีกแง่หนึ่ง  นั่นอาจเป็นเพียงแค่คำปลอบใจ  ใช่แล้ว  แม้ตัวเขาก็รู้ดีว่าการลืมอดีตอันขมขื่นนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเย็น  คนบางคนอาจลืมเรื่องพวกนี้ไม่ได้เลยชั่วชีวิต  จนต้องใช้วิธีซ่อนเอาไว้ลึก ๆ อยู่ในหัวใจ  ครั้นเผลอไผลปล่อยให้สิ่งที่เก็บงำเอาไว้ปรากฏออกมาในความฝันวันป่วยไข้ วันนั้นเราก็ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอีกครั้งหนึ่ง  และย่อมเป็นครั้งที่เจ็บปวดมากที่สุดอยู่เสมอ  เขารู้สึกผิด เป็นความรู้สึกผิดซ้ำซาก  เศร้าโศกและน่าเบื่อหน่าย  แม้จะได้เอ่ยปากขอโทษต่อหน้าเธอแล้วก็ตาม  ทว่าเพียงแค่คำพูดไม่อาจเยียวยาความรู้สึกของผู้สูญเสียได้  มันง่ายดายเกินไป 

ภาพเด็กสาวสะลึมสะลือด้วยฤทธิ์ยาอยู่ในอ้อมแขนของเขาถือได้ว่าเป็นความทรงจำอันน่ากลัว  ใบหน้าของเธอซีดเผือดขณะถูกประคองออกมาจากคลีนิกแห่งหนึ่งย่านดินแดง อย่างไรก็ตาม  ภาพเธอยามรู้สึกตัวดีขึ้นหลังจากเดินทางมาถึงห้องพักของเขาแล้วน่ากลัวยิ่งกว่า วันนั้นเธอนอนคว่ำหน้าร่ำไห้อยู่บนเตียงอย่างเงียบเชียบ ไม่มีแม้เสียงสะอื้นกระซิก ๆ เล็ดรอดออกมา แต่เขารู้ดีว่าหมอนใบที่เธอซ่อนหน้าอยู่นั้นชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา  เธอเป็นคนรักเด็ก  ใครได้คบหาสนิทสนมย่อมรู้เรื่องนี้ดี  ไม่ใช่รักอย่างตุ๊กตา  แต่เป็นความรักของคนที่เปี่ยมด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่   เธอเคยหวังที่จะเห็นชีวิตน้อย ๆ ในร่างของเธอได้ออกมาดูโลก ซึ่งเธอเชื่อว่ายังพอมีความงดงามหลงเหลืออยู่บ้าง  เธอปรารถนาจะปล่อยให้ลูกของเธอถือกำเนิดและเติบโตไปตามวัย  เธอเคยพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มอันฉาบไว้ด้วยความมุ่งหวัง  แต่เขานี่แหละเป็นผู้ทำลายความฝันอันบริสุทธิ์ของเธอโดยที่เธอไม่อาจต้านทานได้  เธอทำอะไรไม่ได้เลยในวันนั้น แม้แต่จะตรงกลับไปบ้านลุงที่เธออาศัยอยู่ก็ไม่อาจทำได้  เธอทรุดโทรมทั้งร่างกายและหัวใจเกินไป  อีกทั้งไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ถึงความอัปยศของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง  เขาเองก็ช่วยเหลือได้เพียงแค่ให้เธอมีที่พักค้างคืนเท่านั้น

“พี่โอมกลับจากอเมริกาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”

“เมื่อวานนี้เอง” เขาตอบเสียงเบาด้วยรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรง  แต่ก็พยายามเล่าต่อไปว่าเขามาทำธุระให้อาจารย์ที่เพิ่งเสียชีวิต  เมื่อเสร็จธุระก็คิดว่าควรหาทางพบเพื่อนเก่าบ้าง  นานเหลือเกินที่เขาไม่ได้ติดต่อใคร  เหมือนตายจากกันจริง ๆ อย่างที่เธอพูดนั่นแหละ เขาฝืนหัวเราะ  ถามเธอว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง  สบายดีใช่ไหม  เธอเหยียดยิ้มออกมา  นั่นช่วยทำให้ความรู้สึกของเขาดีขึ้น  แม้จะไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเธอยิ้มด้วยความสุข  หรือเพียงต้องการเยาะหยันต่อคำถามของเขาเท่านั้น

“สิ่งเดียวที่พี่โอมให้จ๋า  แล้วจ๋าเก็บไว้เป็นอย่างดีก็คือความมุ่งมั่น  พี่โอมซื่อตรงต่อความใฝ่ฝันของตัวเอง  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพี่ก็ต้องไปให้ถึงเป้าหมาย  จ๋าก็เหมือนกัน  ไม่มีอะไรมาทำลายความฝันของเราได้นอกจากตัวเราเอง จริงไหมคะ”

“หมายความว่า...จริงหรือนี่  จ๋ายังเขียนหนังสืออยู่ใช่ไหมใช่จริง ๆ ด้วย  เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากทีเดียว”

“สิบแปดปีกับนวนิยายแค่หกเล่ม  รวมเรื่องสั้นอีกหนึ่งเล่ม  มันคือหนังสือเจ็ดเล่มที่ไม่มีใครจดจำ ไม่ใช่เรื่องน่าพูดถึงหรอกค่ะ ยังห่างไกลจากความสำเร็จเหลือเกิน  แต่นวนิยายเรื่องใหม่ที่จ๋ากำลังเขียนอยู่อาจจะทำให้โลกตะลึงก็ได้นะ”

เขานั่งนิ่งเงียบ นึกทบทวนถึงชีวิตการทำงานของตัวเอง  ก่อนจะพูดออกไปโดยไม่มองหน้าเธอ  เขาว่าเขาเองก็ไม่ดีไปกว่าเธอสักเท่าไร  ที่นิวยอร์กโน่นอาจารย์ช่วยได้เพียงส่วนหนึ่ง แต่ที่เหลือเขาต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง

“วิถีของงานศิลปะเป็นเช่นนี้ในทุกยุคทุกสมัย ไม่มีใครสามารถหายใจแทนเราได้  เราต้องแสวงหาแนวทางและความสำเร็จเอาเอง  ซึ่งพี่ยังไปไม่ถึงจุดที่ใฝ่ฝันเอาไว้  แต่ถึงยังไงก็ดีกว่าตอนอยู่เมืองไทย”

หลายปีมานี้งานของเขาได้รับความสนใจไม่น้อยและขายได้เรื่อย ๆ  มิหนำซ้ำยังได้แสดงงานแบบ“วันแมนโชว์”ไปแล้วสี่ครั้ง  ไม่นับที่เคยแสดงร่วมกับศิลปินอื่น ๆ อีกหลายครั้ง  ในความคิดของเขาแล้วนี่ก็ยังถือว่าไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร  จริงอยู่ที่เขามักบอกใครต่อใครว่าไม่ได้ทำงานศิลปะเพื่อชื่อเสียง แต่เอาเข้าจริงถ้าไม่มีชื่อเสียงให้สูดกลิ่นอันหอมหวาน  ไม่มีชื่อเสียงเพื่อแสดงว่าได้รับการยอมรับ เขาหรือศิลปินหลายคนบนโลกนี้ก็คงไม่มีอะไรให้หวังและเป็นพลังขับเคลื่อนอีกแล้ว

การพูดคุยถึงอาชีพการงานของกันและกันฟังเผิน ๆ คล้ายไต่ถามความเป็นไปในชีวิตของคนสองคน  แต่มันก็ทำให้เขาคิดอย่างเศร้าสร้อยว่าเป็นเรื่องคุ้มค่าแล้วหรือ ที่ยอมทำลายความสุขของผู้หญิงคนหนึ่ง (หรือสองคนกันแน่นะ)  เพื่อแลกกับการเดินทางไปให้ถึงเป้าหมาย เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะเขาไม่เคยรู้สึกลึกซึ้งกับเธอเลยใช่ไหม  ถ้าเพียงแต่เขาต้องการเธอจริง  การตัดสินใจครั้งนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่  ชีวิตทุกวันนี้จะเป็นอย่างที่เป็นอยู่หรือเปล่า เขาตั้งคำถาม แล้วสงสัยว่าถ้าเปลี่ยนจากเธอคนนี้เป็นเธออีกคนหนึ่ง  การตัดสินใจของเขาจะลงเอยอย่างไร  ทารกผู้น่าสงสารจะถูกกำจัดเช่นเดิม หรือว่า...

ในวันนี้ หากแม้นชีวิตน้อย ๆ ในครรถ์ของเธอยังอยู่รอดปลอดภัยก็คงเติบโตเป็นหนุ่มสาวแล้ว  เขารู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้งด้วยฤทธิ์ของยาพิษซึ่งเขาซุกซ่อนเอาไว้ในความทรงจำ และเป็นเพราะเขาไม่อาจซ่อนเร้นมันไว้ได้ตลอดไป  มันจึงแสดงตัวตนต่อเขาเสมอตลอดเวลาสิบแปดปีที่ผ่านมา มันปรากฏตัวขึ้นและบังคับให้เขา...ดื่มยาพิษจากอดีตอย่างช้าๆ  เพื่อรับความทรมานครั้งแล้วครั้งเล่า เขารู้สึกเจ็บปวดภายในหัวใจจนแทบจะทานทนไม่ไหว ต้องพยายามปรับเปลี่ยนอารมณ์ตัวเองด้วยการหันเหความสนใจมาที่ห่อกระดาษสีน้ำตาล

เขายื่นของฝากนี้ให้แก่เธอ

“ผลงานภาพพิมพ์ไม้ชุดล่าสุดของพี่เอง มันมีอยู่ในโลกนี้เพียงสี่ภาพเท่านั้น” เขาคะยั้นคะยอให้เธอรับไว้

และเมื่อห่อกระดาษถูกแกะออก เธอก็เผยรอยยิ้มพิมพ์เดียวกับในอดีตให้เห็น  แม้ดวงตาจะดูเศร้า ๆ อยู่บ้างก็ตาม

“งดงามมากค่ะ” เธอจ้องมองภาพขาวดำในกรอบโลหะ แข็งแรง “เป็นภาพพิมพ์ไม้ที่ยอดเยี่ยม พี่โอมให้จ๋าจริงหรือคะ” น้ำเสียงตอนท้ายของเธอฟังดูคล้ายซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้

เขาพยักหน้าอย่างเชื่องช้าแทนคำตอบ  เธอลุกขึ้นเดินไปปลดภาพถ่ายบนผนังออกมาวางกับพื้น  เป็นภาพครึ่งตัวของเธอเองที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่และแขวนไว้อย่างโดดเดี่ยวแยกจากกลุ่มภาพถ่ายเล็ก ๆ ทั้งหมด  เธอจัดการแขวนภาพพิมพ์ไม้เข้าแทนที่

ภาพพิมพ์ไม้ดังกล่าวพิมพ์ด้วยหมึกดำ แสดงเรื่องราวในร้านอาหารริมถนนสายหนึ่งยามค่ำคืน  โคมไฟเหนือโต๊ะส่องแสงลงมาต้องร่างชายหญิงสี่คน  ซึ่งกำลังนั่งกินอาหารอยู่ในบรรยากาศอันมัวซัวและเปล่าเปลี่ยว ราวกับว่าโลกของพวกเขาไม่มีมนุษย์อื่นใดอีกแล้ว  นอกจากแม่ค้าผู้กำลังนั่งง่วงเหงาอยู่ข้างเตาและกระทะเอียงกะเท่เร่ หมาตาเศร้าตัวหนึ่งนอนหมอบนิ่งอยู่ใต้โต๊ะ ไม่สนใจเศษอาหารที่ชายในภาพคนหนึ่งหยิบยื่นให้อย่างเอ็นดู  เขาชอบภาพนี้มากตั้งแต่ตอนที่มันยังเป็นแค่ภาพร่าง จากนั้นก็รีบลงมือแกะแม่พิมพ์ไม้ทันทีที่รู้ตัวว่าจะต้องเดินทางกลับประเทศไทย  ตามปกติแล้วงานภาพพิมพ์ไม้ของเขาจะพิมพ์ออกมาประมาณสิบห้าถึงยี่สิบห้าภาพ  แต่สำหรับครั้งนี้เขาต้องการเพียงแค่สี่ภาพเท่านั้น  ด้วยไม่คิดจะขายผลงานชุดนี้ให้แก่ใคร เพราะมันถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับมิตรภาพในวัยหนุ่มสาว  แม้มิตรภาพนั้นจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและโหดร้ายในความทรงจำของทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ตาม

“พี่พลต้องแปลกใจแน่”

คำพูดของเธอทำให้ความสงสัยที่เขาเกือบจะลืมไปแล้วแจ่มชัดขึ้นมาอีก  อย่างไรก็ตาม  เขาไม่มีเวลาใคร่ครวญถึงที่มาที่ไปของความสัมพันธ์นั้น  เรื่องนี้ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขาเลย

“พี่เตรียมไว้ให้พลด้วยนะ แต่อยู่ที่โรงแรม  ไม่คิดว่ามันจะ...อืมม์  พี่อยากเจอมันเหมือนกัน  จ๋าพอรู้มั้ยว่าจะติดต่อได้ยังไง”

เธอเดินกลับมานั่งที่เดิม สบตากับเขาแวบหนึ่ง แล้วก้มมองดูมือซีดขาวทั้งสองข้างที่ประสานกันอยู่บนตัก

“ตอนนี้เขาออกไปทำงานค่ะ  กว่าจะกลับก็คงตีสาม” เธอกล่าวเสียงอู้อี้ฟังไม่ถนัดนัก

ความจริงที่ได้รับรู้ทำให้ข้อสงสัยหมดไป  แต่แล้วเขาก็เกิดความสงสัยใหม่ ๆ ขึ้นมาอีกไม่ผิดเด็กน้อยอยากรู้อยากเห็น  เป็นไปได้อย่างไร  เมื่อไหร่ และด้วยเหตุผลใด  เขาเคยคิดว่าทั้งสองไม่ได้รู้สึกต่อกันฉันชู้สาว   เธออีกคนหนึ่งต่างหากเล่าที่มันต้องการ  เอาเถอะ  เขาบอกตัวเอง  เขาไม่อยากค้นหาคำตอบในเวลานี้  อีกทั้งไม่คิดจะถามให้วุ่นวาย  เขาเพียงสรุปว่าเวลาเนิ่นนานที่ผ่านมาย่อมทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วอย่างที่เป็นอยู่ ความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ช่วยทำให้ความคิดฟุ้งซ่านของเขาสงบลง

“พลสบายดีหรือเปล่า”

“สบายดีค่ะ ถ้าพี่โอมอยากเจอก็ต้องไปหาที่เดอะวอร์”

“เดอะวอร์” เขาทวนคำเสียงสูง

เธอทำท่าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเดินไปที่โต๊ะวางเครื่องคอมพิวเตอร์  และเปิดลิ้นชักค้นหาอะไรบางอย่าง

“ที่อยู่ของร้านค่ะ” เธอยื่นนามบัตรให้ “เป็นร้านแบบร็อคผับ พี่พลทำงานอยู่ที่นั่น แล้วก็ทุ่มเทเวลาให้ยังกะเป็นเจ้าของ”

“ผ่านมานานขนาดนี้ มันก็ยังหนีไม่พ้นงานกลางคืน มันคงอยากเป็นเจ้าของบาร์อยู่ซีนะ...” เขาพึมพำออกมาราวกับพูดกับตัวเอง

จากคำบอกเล่าของเธอทำให้รู้ว่าชีวิตและเป้าหมายของมันยังไปไม่ถึงไหน  สมัยก่อนโน้นเขามักจะได้ยินมันคุยให้ฟังถึงความตั้งใจที่จะมีกิจการส่วนตัว  ไม่ว่าจะเป็นบาร์หรือไนท์คลับ  อะไรก็ได้ที่เป็นของมันอย่างแท้จริง เวลาคุยถึงเรื่องบาร์ในจินตนาการมันจะทำตาฝัน ๆ แล้วบอกว่าจะนั่งอยู่ตรงส่วนไหนของร้าน จะดูแลลูกน้องอย่างไร  แต่ที่ชอบพูดถึงบ่อยที่สุดก็คือ “ข้าจะเลี้ยงเหล้าเอ็งจำเอาไว้ไอ้โอม  ข้าจะเดินไปเปิดเหล้าขวดไหนมากินก็ได้เพราะข้าเป็นเจ้าของร้านว่ะ ไม่ต้องกลัวใครมาด่าด้วย” เขายิ้มให้กับเรื่องราวที่โลดแล่นอยู่ในห้วงความคิด   มันนำมุขนี้มาจากนวนิยายเรื่องหนึ่งของจอห์น สไตน์เบ็ค  ซึ่งเขาเคยอ่านและเล่าให้ฟังเมื่อนานมาแล้ว

“พี่โอมจะไม่ถามหรือคะว่าร้านนั้นเป็นของใคร จ๋าคิดว่าบางทีถ้าเจ้าของไม่ใช่บัว พี่พลอาจไม่ไปทำก็ได้”

ชื่อที่เธอกล่าวถึงทำให้หัวใจของเขากระตุก สติเริ่มเลอะเลือน  มือเย็นลงจนกระทั่งรู้สึกได้เมื่อยกแขนขึ้นกอดอก

“ลองไปหาที่ร้านดูนะคะ พวกเขาอยู่กันที่นั่นเสมอ...ถ้าไม่มีใครโกหก”

การได้พบใครคนหนึ่งมักเป็นจุดเริ่มต้นนำไปหาคนอื่นที่เหลือ  เขาคิด  หากคนเหล่านั้นถูกร้อยรัดเอาไว้ด้วยเรื่องราวมากมาย  ทั้งอดีตที่เต็มไปด้วยมิตรภาพและอดีตที่ขัดแย้งกันทางจิตใจ  สำหรับเขาแล้ว  ความขัดแย้งทำให้ชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป  นี่คือสิ่งที่โลกได้เฆี่ยนตีสั่งสอนเขาตลอดมาด้วยแส้แห่งความเป็นจริง มันทำให้เขาเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า  โดยเฉพาะเมื่อมันจู่โจมเข้ามาหาโดยไม่ยอมให้เขาตั้งตัว  อีกนานเท่าไรหนอถึงจะจบสิ้น เขาสงสัย

“พวกนั้นคงดีใจที่ได้พบพี่โอมอีก”

จากการลอบชำเลืองดู  เขาเห็นว่าเธอกำลังมองมาทางเขาเช่นกัน ราวกับต้องการได้เห็นปฏิกิริยาบางอย่าง ทว่าด้วยความพยายาม  เขาก็สามารถทนนิ่งเฉยได้  นั่นอาจเป็นเพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าควรจะแสดงท่าทีอย่างไรต่อเรื่องนี้  ใจหนึ่งดูเหมือนต้องการพบเธอคนนั้นเหลือเกิน  ทว่าอีกใจหนึ่งกลับปรารถนาที่จะลืมเธอไปตลอดกาล  โชคร้าย...เขาไม่อาจทำได้อย่างที่คิด อดีตไม่ต่างจากบาดแผลใต้ผิวหนังซึ่งเขาคิดว่ามันหายไปแล้ว  แต่วันหนึ่งมันก็ปะทุอักเสบเป็นหนองขึ้นมาให้เจ็บปวดอีก  เขาถอนหายใจและจมดิ่งอยู่ในห้วงคิด

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงให้เธอเห็นว่ากำลังลากลับ  เขาจะอยู่ต่อไปอีกทำไมกันเล่า   ที่ีนี่ไม่มีเรื่องราวใด ๆ ให้ทำอีกแล้ว

“เผื่อมีธุระจะติดต่อกับพี่” เขายื่นนามบัตรของโรงแรมให้

“แล้วคืนนี้พี่โอมจะไปหาพี่พลกับบัวหรือเปล่าคะ” เธอตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเย็นชา เขาส่ายหน้า รู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างน่าประหลาด  ทั้ง ๆ ที่เพิ่งได้รับความสำเร็จในเรื่องหนึ่งอย่างง่ายดายกว่าที่คาดคิดเอาไว้

“ไม่แน่  คืนนี้พี่อาจจะไปหรือไม่ไปก็ได้  คงไม่มีอะไรต้องรีบ หลังจากเวลาผ่านไปนานถึงสิบแปดปี”

พ้นจากบ้านซึ่งอบอวลด้วยความอึดอัด  เขาเดินใจลอยจนเกือบจะถูกรถแท็กซี่คันหนึ่งเฉี่ยวเข้าให้ คนขับรถเปิดประตูลงมาทำท่าจะเอาเรื่อง  เขาโบกมือห้าม  ยามนี้ไม่นึกอยากต่อยตีกับใคร  เขาขอร้องให้คนขับพาไปส่งที่โรงแรม  ขณะนั่งมาในรถแท็กซี่เขารู้สึกแปลกใจว่าทำไมตัวเองถึงได้อ่อนแอเสียเหลือเกิน เป็นเพราะอดีตของเธอที่เขาจากมา  หรือเพราะชื่อของเธอคนนั้น ผู้ซึ่งเขาเพิ่งจะได้ยินอีกครั้งหนึ่ง  โอ สิบแปดปีช่างยาวนานเหลือเกิน...

เมื่อถึงห้องพัก เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่  และถึงแม้จะต้องการเดินทางไปเดอะวอร์ตามแรงปรารถนา แต่ท้ายที่สุดเขาก็เข้าใจได้ว่า เวลานี้ควรอยู่ตามลำพังในความเงียบของห้องพักมากกว่าจะออกไปทำสิ่งอื่นใด  อย่างไรก็ตาม  เขายังคงรู้สึกทรมานกับการอยู่ตามลำพัง  ทั้ง ๆ ที่เขาสนิทสนมกับมันมาชั่วชีวิต  จนต้องลุกไปคว้าเบียร์กระป๋องจากมินิบาร์มาดื่มคลายอารมณ์  แน่นอน  เขารู้จากประสบการณ์นับครั้งไม่ถ้วน ว่าเครื่องดื่มพวกนี้ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นหลังจากผ่านความเมามายไปแล้ว  แต่อย่างน้อยมันก็พอจะทำให้เขาหลับสนิทได้อีกครั้ง

เขานั่งจิบเบียร์อยู่ที่ริมระเบียงห้องพัก พร้อมกับทอดสายตามองทัศนียภาพของกรุงเทพมหานครยามค่ำคืน  ซึ่งเต็มไปด้วยแสงไฟเป็นจุดสว่างละลานตา  จุดสว่างนับไม่ถ้วนนี้แทรกอยู่ในความมืดของกลุ่มอาคารบ้านเรือนและตึกสูง  งดงามต่างไปจากทะเลดาวบนท้องฟ้าคืนแรมในประเทศอื่นตามความรู้สึกของเขา

ระหว่างปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับภาพที่เห็น พลันเสียงกริ่งโทรศัพท์ที่โต๊ะหัวเตียงก็ดังขึ้น  เขาเดินเนือย ๆ เข้าไปรับสายอย่างเกียจคร้าน

“สวัสดีครับ”

ใครกันนะที่โทรศัพท์มามืดค่ำขนาดนี้ เขาคิด

“สวัสดีค่ะ คุณโอมใช่ไหมคะ นี่อัญเองค่ะ”

เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะทำให้จำเธอไม่ได้ แม้ผู้ชายทุกคนที่ได้พบเธอก็คงคิดเช่นเดียวกัน

“อัญญา...”


***


เขาตื่นขึ้นมาในตอนบ่าย  รู้สึกไม่ค่อยสดชื่นสักเท่าไรนัก  อาจเป็นด้วยเมื่อคืนดื่มเบียร์มากจนเกินไป  เขาลุกจากเตียงและเดินไปเปิดผ้าม่านสีเทาด้านหลังห้องพักเพื่อรับแสงสว่างจากโลกภายนอก  แสงสว่างทำให้เขาต้องหลับตาลงครู่หนึ่ง  ก่อนจะลืมตามองลงไปยังภาพชีวิตเบื้องล่าง  เวลานี้ถนนหลานหลวงกำลังคับคั่งด้วยยวดยานนานาชนิด เขามองอย่างเลื่อนลอย ความคิดและลมหายใจราวกับจมอยู่ในห้วงความฝัน  สักพักหนึ่งก็เบือนหน้าหนี  แล้วเดินโผเผเข้าห้องน้ำชำระล้างร่างกาย จากนั้นก็สวมเสื้อคลุมสีขาวกลับมานั่งลงที่ปลายเตียง เขาจ้องดูเงาตัวเองในกระจกบนฝาตู้เสื้อผ้า พลางคิดว่าน่าจะหาอะไรทำฆ่าเวลาสักหน่อย  ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลานัดหมายกับเธอ  เขานึกถึงอาหารมื้อแรกของวัน  เพราะมันล่วงเลยมาจนบ่ายสามโมงแล้ว เหมือนว่าจะหิวแต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้อยากกินอะไรสักเท่าไหร่ ท้องไส้เต็มไปด้วยความพะอืดพะอม สุดท้ายก็ตัดสินใจหยิบกางเกงว่ายน้ำออกมาจากตู้  มันได้รับการออกแบบตัดเย็บเป็นอย่างดี เนื้อผ้าเป็นผ้ายืดชนิดพิเศษ มีลักษณะคล้ายหนังปลาสีดำและสามารถกันน้ำได้  ปลายขากางเกงยาวเกือบถึงหัวเข่า  นี่เป็นแบบที่เขาชอบใช้มานานแล้ว  เขาสวมกางเกงว่ายน้ำอย่างรวดเร็วเพื่อจะได้ลืมอาการเมาค้าง ซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยชอบกล จนต้องพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วกระชับเสื้อคลุมให้แน่นหนาอีกครั้ง  ที่ประตูห้องพัก  เขาไม่ลืมดึงกุญแจออกจากช่องเสียบบนผนัง  ก่อนจะก้าวออกไปอย่างกระปรี้กระเปร่าทั้ง ๆ ที่มันไม่มีอยู่จริง 

สระว่ายน้ำของโรงแรมอยู่ไม่ไกลจากประตูลิฟท์และล็อบบี้ มากนัก เขาผลักประตูกระจกเดินตรงไปยังสระสีฟ้า กวาดสายตามองไปทั่วแต่ไม่พบแขกของโรงแรมรายอื่น  บรรยากาศจึงดูค่อนข้างเงียบเหงาอยู่สักหน่อย เขาได้ยินเสียงใบไม้กิ่งไม้จากบริเวณสวนหย่อมไหวซู่ซ่าราวเสียงกระซิบของใครบางคนที่อยู่ห่างไกล ทำให้รู้สึกใจคอว่างโหวงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ โชคดีที่มีพนักงานชายคนหนึ่งในชุดกีฬาสีขาวคอยต้อนรับอยู่ พนักงานผู้นี้มีผิวคล้ำสวยคงเพราะว่ายน้ำกลางแจ้งบ่อยครั้ง  เขาส่งยิ้มเนือย ๆ ให้เมื่อได้รับคำทักทายเป็นภาษาอังกฤษ พลางสงสัยว่าระยะเวลาสิบกว่าปีที่จากบ้านเกิดเมืองนอนไป ได้ทำให้เขามีลักษณะเหมือนคนต่างชาติมากอย่างนั้นหรือ  พลันความรู้สึกขบขันก็แล่นขึ้นมาอย่างซังกะตาย  เขาส่ายหน้า แล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อสระผมและอาบน้ำซ้ำอีกครั้ง

หลังจากลงไปแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำอันเย็นฉ่ำ  เขาก็รู้สึกราวกับได้หวนคืนสู่โลกอันเงียบสงบที่เขาคุ้นเคยมานาน เขารู้สึกดีขึ้นมากจนหลงลืมความหม่นหมองทั้งหลายทั้งปวง  เพราะเหตุนี้ใช่ไหมเขาจึงหาโอกาสว่ายน้ำอยู่เสมอ จริง ๆ แล้วเขาชื่นชอบการว่ายน้ำมานานตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก   และภาคภูมิใจที่หัดว่ายน้ำได้ด้วยตัวเองจนชำนาญในคลองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใกล้บ้าน ทุกครั้งที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ  เขามักจะสัมผัสได้ถึงความอิสระมหัศจรรย์  คล้ายล่องลอยสู่ห้วงอวกาศอันไกลโพ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อว่ายด้วยท่าตีกรรเชียงเพื่อจะได้แลเห็นท้องฟ้ากว้างไกล  แม้ว่าท้องฟ้าวันนี้ยังคงเต็มไปด้วยหมู่เมฆสีเทาอันแสนเศร้าก็ตาม  เขาเฝ้ามองและว่ายกลับไปกลับมาอย่างเชื่องช้า ระหว่างนั้นก็อดคิดถึงเธอที่โทรศัพท์มาหาเมื่อตอนกลางคืนไม่ได้

มีคำต่อว่าต่อขานอย่างไม่จริงจังนัก เธอว่าได้พยายามติดต่อเขาหลายครั้ง แต่โอเปอเรเตอร์ของโรงแรมแจ้งว่าในห้องพักไม่มีคนรับสาย  คำพูดของเธอทำให้เขาอยากหาซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้ใช้สักเครื่องหนึ่งระหว่างพักอยู่เมืองไทย  มันคงมีประโยชน์กว่าที่นิวยอร์ก  ที่นั่นเครื่องมือสื่อสารพวกนี้ไม่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตของเขาเลย  คริสตมาสปีหนึ่งอาจารย์ซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้เขาเป็นของขวัญ  แต่เขาเผลอทำหายในคืนที่เมาหนักและไม่คิดจะซื้อเครื่องใหม่มาทดแทน  มันเป็นส่วนเกินในวิถีชีวิตของเขาผู้ซึ่งทุก ๆ วันมักจะจมอยู่ในห้องนอนหรือไม่ก็สตูดิโอ  อย่างไรก็ตาม  บางทีเย็นนี้เขาอาจจะแวะหาซื้อก็ได้  เนื่องจากต้องออกไปกินอาหารค่ำกับเธออยู่แล้ว เขาวางแผน

ในเวลาต่อมา  เขาสงสัยว่าเธอคิดอย่างไรกันนะ  ถึงได้ชวนเขาไปกินอาหารเป็นการส่วนตัว  เขาสมควรเชื่อดีไหมในคำชี้แจงของเธอ  เธอบอกว่าต้องการเลี้ยงขอบคุณเขาที่ช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องงานศพของอาจารย์  แน่นอน  เธอสารภาพว่ารู้สึกซาบซึ้งที่เขานำอัฐิกับภาพเขียนของอาจารย์มามอบให้  เธออยากขอบคุณเขาสักร้อยครั้งพันครั้ง  ที่แย่ก็คือเธอไม่ยอมพูดถึงเรื่องอพาร์ทเมนท์ในนิวยอร์กและพินัยกรรมเลย เธอผู้มีใบหน้างดงามและรูปร่างบอบบางแลดูแช่มช้อย  ไม่ได้สอบถามถึงจำนวนเงินในธนาคารที่พ่อของเธอยกให้  เธออาจเป็นคนประเภทที่ไม่ใส่ใจเรื่องเงินทองก็เป็นได้   ถึงกระนั้นเขาก็ยังอยากให้เธอติดต่อกับทนายความของอาจารย์ให้เสร็จเรื่องเสียที มันควรเป็นเช่นนั้นใช่ไหม  เธอน่าจะรีบทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ถูกต้องเพื่อที่เรื่องนี้จะได้จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่ากลับไปนิวยอร์กคราวนี้เขาจะต้องรีบหาที่อยู่ที่ทำงานใหม่  นี่คืออนาคตซึ่งมองเห็นได้แจ่มชัดเหลือเกิน เขาควรคิดอ่านหาทางขยับขยายโดยเร็วที่สุด

อะไรบางอย่าง  อาจจะเป็นสภาพของดินฟ้าอากาศ  ทำให้เขาคิดถึงวันที่ได้พบเธอที่บ้านใหม่อันสวยงามทันสมัยบนถนนเจริญรัถ  ไม่ใช่บ้านหลังเดิมซึ่งเขาเคยไปมาหาสู่หลายครั้งในอดีต  น่าขำเหลือเกินที่เธอจำเขาไม่ได้   ไม่มีใครจำเขาได้เลย  เวลาผ่านไปนานจริง ๆ  ครั้งสุดท้ายที่พบกันตอนนั้นเธอคงอายุได้เพียงเจ็ดแปดขวบ เป็นเด็กหญิงหน้ากลม ๆ ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้ม ผิวขาวราวกับน้ำนม  เธอมีลักษณะซุกซนตามประสาเด็ก   อีกทั้งชอบวิ่งเล่นไปทั่วบ้าน  ถ้าเธอหารองเท้าของอาจารย์พบก็จะนำมาสวมใส่  พร้อมกับเอามือไขว้หลังเดินกลับไปกลับมาด้วยท่าทางใช้ความคิดอันเป็นท่าประจำตัวของอาจารย์ 

โธ่เอ๋ย อาจารย์...ชายผู้ชอบใช้เวลาว่างพร่ำบ่นคร่ำครวญถึงลูกสาวหลังจากดื่มเบอร์เบิ้นจนเมามาย อาจารย์คิดถึงลูกสาวที่ไม่ได้พบหน้ากันตลอดระยะเวลาสิบแปดปีหลังการหย่าร้างเพื่อเดินทางไปสู่ดินแดนอื่น  ด้วยหวังจะก้าวไปให้ถึงเป้าหมายในชีวิต  ถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาอีก  การไปพบเธอพร้อมด้วยอัฐิของอาจารย์นับเป็นภารกิจสุดท้าย  เขานำทุกสิ่งทุกอย่างกลับมามอบให้เธอเรียบร้อยแล้ว พ่อกับลูกได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง  เขาแน่ใจว่าได้ทำหน้าที่ของตนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนที่เหลือนั้นเธอจะต้องดำเนินการด้วยตัวเองเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เรื่องราวระหว่างเธอกับเขาอาจไม่จบลงง่าย ๆ  นี่เป็นเพียงความรู้สึกคล้ายลางสังหรณ์  เธอกล่าวทางโทรศัพท์ว่าอยากให้เขาเล่าเรื่องของพ่อให้เธอฟัง ย้ำหลายครั้งว่ามีเรื่องอยากรู้อยากถามมากมายเกี่ยวกับพ่อ  เธออิจฉาเสมอเมื่อรู้ว่าเขาเพียงคนเดียวที่ได้รับใช้ใกล้ชิดพ่อของเธอมาโดยตลอด 

ทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้นนะ  เขารำพึง  มีแต่เขาที่ไม่ต้องการพบเธอ  อยากจะหลีกหนีไปให้ไกล เรื่องไม่ง่ายตรงที่เธอสุภาพและน่ารักเกินกว่าใครจะทำหยาบคายเช่นนั้นได้  เขาพยายามคิดอยู่เสมอว่าเธอคือลูกสาวของผู้มีบุญคุณ  ใช่  มันเป็นเรื่องไม่สมควร  เขาได้แต่เตือนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างตีกรรเชียงอย่างเชื่องช้า  ทว่าก็น่าหวั่นใจเหลือเกิน  เขาคิด  ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ต้องรับรู้ถึงความมีอยู่ของเธอ  รับรู้ถึงความงามของเธอ  เธอเติบโตขึ้นมาเพื่อเป็นดอกไม้ที่เพียบพร้อมของมหานครแห่งนี้  มีหลายสิ่งหลายอย่างชวนให้เขาผู้ได้พบเห็นเธอปั่นป่วนใจด้วยความสุข  ที่สำคัญเธอยังสาวและมีอนาคตอีกยาวไกล ถึงตรงนี้เขาก็อยากหัวเราะ เพิ่งตระหนักว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ควรเกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้น  เธอไม่มีวันสนใจผู้ชายวัยสี่สิบเอ็ดอย่างเขา ไม่มีทางจริง ๆ เขาเหยียดยิ้มอย่างเยาะ ๆ ให้แก่ความฟุ้งซ่านและฟุ้งฝันของตัวเอง  ต่อให้เขาชื่นชมเธออย่างเต็มเปี่ยม  หรือแม้กระทั่งหลงรักเธอ  ความสัมพันธ์ที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นก็ไม่มีทางเป็นจริงไปได้   สาวสวยวัยยี่สิบห้ากับชายไร้อนาคตวัยสี่สิบเอ็ดผู้กำลังโรยรา  อีกทั้งจะอยู่เมืองไทยไม่นาน   ช่างเป็นเรื่องขบขันและน่าละอายอย่างแท้จริง
 
เขาพลิกตัวกลางสระแล้วดำดิ่งลึกลงไปในห้วงน้ำใสกระจ่าง โดยพยายามกลั้นลมหายใจเอาไว้ให้นานที่สุด เขาบังเกิดความปรารถนาจะอยู่ในสภาพนี้กับตัวตนที่ยากจะเข้าใจ ใต้น้ำลึกเต็มไปด้วยความเงียบและตัวตนของเขา แต่แล้วภาพของเธอก็ปรากฏขึ้น  เธอกำลังยิ้มอย่างอ่อนหวาน ขณะยกมือสยายผมหยักศกที่ยาวถึงกลางหลัง  ดวงตาของเธองามซึ้ง ขนตางอนยาวเป็นแพ  คิ้วเรียวเกือบเป็นเส้นตรงแต่โค้งลงตรงปลายเล็กน้อย จมูกนั้นโด่งเป็นสัน  เหนือสิ่งอื่นใดคือริมฝีปากแดงชาดยามเผยอยิ้ม  ซึ่งชวนให้เขารู้สึกปั่นป่วนและวาบหวามไปพร้อม ๆ กัน  มันทำให้เขาเผลอหายใจจนสำลักน้ำ ต้องรีบทะลึ่งตัวขึ้นสู่เบื้องบน เขาหอบหายใจทางปากรุนแรง  แล้วถามตัวเองว่าทำไม...ทำไมในเสี้ยวอารมณ์หนึ่ง ภาพของเธอถึงทำให้เขาคิดถึงเธออีกคนหนึ่งขึ้นมา เพราะเหตุใดเธอสองคนจึงคล้ายคลึงกันในความรู้สึกของเขาเหลือเกิน  นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธการพบเธอก็เป็นได้ 

เขาหมดสนุกกับการว่ายน้ำเสียแล้ว  จึงขึ้นจากสระน้ำและคว้าเสื้อคลุมมาสวม จากนั้นเดินผลักบานประตูกระจกออกไปที่ล็อบบี้  นั่นเป็นเวลาเดียวกันกับที่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นหลายสิบคนกำลังจับกลุ่มรอมัคคุเทศก์อยู่บริเวณนั้นพอดี  เขารีบขึ้นลิฟท์กลับเข้าห้องพัก จัดการอาบน้ำสระผมอีกครั้งอย่างลวก ๆ แล้วสวมชุดใหม่เป็นเสื้อโปโลสีฟ้ากับกางเกงขายาวสีกากี  เขาคิดจะสั่งรูมเซอร์วิสให้นำอาหารมาส่งที่ห้องพัก เพราะไม่อยากลงไปนั่งเสนอหน้าอยู่ในห้องอาหารท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่วินาทีต่อมาก็เปลี่ยนใจ เขาเดินไปเปิดตู้เย็นคว้าเบียร์กระป๋องหนึ่งออกมาดื่มแก้กระหาย

ในความเงียบของห้องพักสะอาดตา ความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศแทรกตัวอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง เขามองผ่านบานประตูกระจกทางระเบียงด้านหลังไปสู่ทัศนียภาพของมหานครยามเย็นแล้วปล่อยใจให้ล่องลอย  เวลานี้ตึกรามบ้านเรือนที่เห็นสลับซับซ้อนไกลออกไปราวกับไม่มีความหมายใด ๆ  แต่ท้องฟ้ากับหมู่เมฆสีดำทะมึนที่แสดงให้เห็นว่าฝนอาจตกลงมาในไม่ช้าก็ทำให้เขาซึมเซาลงเล็กน้อย  ถ้าฝนตกเธอคงหมดสนุก  เขาจึงไม่อยากให้เธอเปียกฝน  นี่คงเป็นความจริงอีกข้อหนึ่งสินะ  เขาเริ่มยอมรับถึงความจริงอันเป็นความปรารถนาในใจ  หลังจากคิดทบทวนแง่มุมนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่...เขาถึงกับเรียกมันว่าเป็นความปรารถนาในใจเชียวหรือ  เขาเองก็แค่อยากชวนเธอเดินเล่นหลังอาหารค่ำเพื่อเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆในกรุงเทพฯ หลังจากห่างเหินไปนาน  เขารู้สึกคล้ายเป็นคนแปลกหน้าของนครใหญ่แห่งนี้  แม้ว่ามันจะเป็นบ้านเกิดของเขาก็ตาม  เวลาที่คืบคลานไปข้างหน้าได้ทำให้กรุงเทพฯ เปลี่ยนโฉมไปมาก  ทุกวันนี้มีถนนสายใหม่และอาคารสูงระฟ้าผุดขึ้นเต็มไปหมด ผู้คนบนท้องถนนก็ยิ่งแลดูสับสนยิ่งกว่าในอดีต  ที่นี่วุ่นวายไม่ต่างจากนิวยอร์ก สถานที่ซึ่งเขาใช้ชีวิตอยู่มานานทว่าไม่อาจคุ้นเคยจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้  น่าเศร้าตรงที่อีกไม่นานเขาจะต้องกลับไปอยู่ที่นั่น และคงจะตลอดไป

การกลับไปทำงานศิลปะอันเป็นที่รักนี้ อาจเป็นการเดินไปสู่ความเปล่าเปลี่ยวยิ่งกว่าครั้งแรก  ทุกซอกมุมของอพาร์ทเมนท์ขนาดใหญ่ซึ่งแบ่งเป็นที่พักและสตูดิโอสำหรับทำงาน  จะไม่มีร่างและเงาของอาจารย์ให้อุ่นใจอีก  โชคดีที่ในพินัยกรรมฉบับนั้น อาจารย์อนุญาตให้เขาอยู่ต่อไปได้   แม้จะมอบให้เธอเป็นมรดกแล้ว  แต่เขาคงไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้ตลอดไปแน่นอน  ความรู้สึกอยากอยู่และย้ายออกไปเหมือนจะมีกำลังขับเคี่ยวพอ ๆ กันอย่างน่าพิศวง ส่วนจะเป็นด้วยเหตุผลอะไรนั้น เขาไม่อาจตอบได้  แล้วก็พาลให้สงสัยต่อไปอีกว่าเธอคิดจะทำอย่างไรกับสมบัติชิ้นนี้  เมื่อเธอมีอำนาจเต็มที่หลังจากดำเนินการทางกฎหมายเสร็จสิ้นลงแล้ว  เขาลองมาคิด ๆ ดู  บางครั้งเขาก็ไม่อยากย้ายออกไปหาที่อยู่ใหม่  มันไร้อดีตเกินไป  ถ้าโชคดีเธออาจประกาศขาย  เพราะไม่มีเหตุผลที่เธอจะย้ายไปอยู่ที่นั่น หากเป็นเช่นนั้นเขาก็น่าจะลองขอซื้อจากเธอ  แม้ว่าฐานะทางการเงินของเขาจะไม่ค่อยพร้อมนัก  แต่เอาเถอะ  เธออาจขายให้เขาในราคามิตรภาพก็ได้นะ  หรือไม่ก็...เขาคิดอย่างขำขื่น  เขาอาจตัดสินใจโยกย้ายกลับมาทำงานในเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ แต่จะกลับมาเพื่ออะไรกันเล่า  เขาตั้งคำถามเอากับความว่างเปล่ารอบ ๆ ตัว  ที่นี่ไม่มีใครเรียกร้องวิงวอนขอให้เขากลับมาสักคนเดียว  เขาไม่มีญาติพี่น้อง  พ่อตายไปนานแล้ว  แม่น่าจะยังคงมีชีวิต  ทว่าอยู่ที่ไหนเขาเองก็ไม่อาจล่วงรู้  เพื่อนฝูงล้วนพลัดพรากกระจัดกระจาย  ที่สำคัญเมืองไทยไม่มีพื้นที่ให้ยืนเอาเสียเลยสำหรับคนทำงานศิลปะอย่างเขา  ผู้คนในต่างแดนยังยอมรับผลงานของเขามากกว่า พวกนั้นซื้อผลงานภาพพิมพ์ของเขาด้วยรอยยิ้มและทะนุถนอมเป็นอย่างดี  เขาแค่นยิ้มเมื่อนึกขึ้นได้ว่าสำหรับที่นี่  ใช่ ประเทศนี้นี่แหละ  ถ้าผลงานของเขาร่วงหล่นอยู่บนทางเท้า  มันก็คงเป็นได้เพียงแค่เศษขยะเท่านั้น

เขาเศร้าใจเมื่อคิดถึงงานและการต่อสู้ในชีวิต เบียร์กระป๋องที่สองทำให้เซื่องซึมมากขึ้น  เขาด่าตัวเองที่ดื่มเบียร์เข้าไปทั้ง ๆ ใกล้เวลานัดพบเธอ สุดท้ายจึงวางกระป๋องเบียร์บนพรมสีน้ำเงิน  แล้วล้มตัวลงนอน

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนเขาไม่แน่ใจ  รู้สึกแต่เพียงว่าได้ยินเสียงเธอแว่วมาจากที่ห่างไกล...ไกลเหลือเกิน  เสียงของเธอค่อย ๆ ดังขึ้นจนเขาสะดุ้งตื่น  เขาลืมตาโพลงมองเพดานห้องอยู่ชั่วขณะหนึ่ง  เมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่เสียงเธอ  แต่เป็นเสียงกริ่งโทรศัพท์ซึ่งดังอยู่ในโลกของความจริงจึงเอื้อมมือไปรับสาย  มีกระแสเสียงน่ารักดังลอดออกมาจากหูโทรศัพท์  ฟังคล้ายเธอกำลังเอียงหน้ามากระซิบอยู่ตรงข้างหูของเขา อดไม่ได้ที่จะคิดถึงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ยามอยู่ใกล้เธอ

“อัญเพิ่งมาถึงค่ะ ตอนนี้รออยู่ที่ล็อบบี้นะคะ”

เขารับปากว่าจะลงไปทันที  พอวางหูโทรศัพท์เขาก็รีบลุกขึ้นยืนพลางมองภาพตัวเองในกระจกเงา  เขาใช้มือเสยผมที่ยาวปรกไหล่ให้เข้ารูป ก่อนจะคว้าถุงเท้ารองเท้ามาสวม เสร็จแล้วก็ยิ้มประหลาด ๆ ให้กับเงาตัวเองในกระจกอีกครั้ง  เขายิ้มให้กับความสุขสดชื่นของเย็นวันนี้  นี่คือยามเย็นที่จะมีเธอเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารไม่ใช่หรือ  ซึ่งย่อมจะเป็นวันที่ไม่ผ่านไปอย่างสูญเปล่า  เขาพยักหน้ารับ แต่ลึกลงไปในใจกลับมองเห็นอาจารย์กำลังยืนขมวดคิ้วพร้อมกับจ้องเขม็งตรงมา  ราวกับท่านต้องการกำชับว่าจงให้เกียรติแก่เธอ  อย่าทำให้เธอเสียใจเหมือนกับผู้หญิงหลายคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่รักและไม่ได้รัก

ความคิดคำนึงถึงเรื่องนี้ทำให้เขาสงสัย  เป็นความสงสัยที่เขาขบคิดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน อาจจะมากเท่ากับจำนวนครั้งของการหายใจเข้าออก  ว่าเขาเคยรักผู้หญิงคนไหนบ้างหรือไม่  แม้แต่กับแม่ของเขาเอง  แม่ผู้ซึ่งเวลานี้จะอยู่แห่งหนใดก็ยังไม่อาจล่วงรู้ได้

“แม่คงมีความสุขดีใช่ไหมครับ”

เขาคิดถึงแม่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว  นี่คงเป็นแค่อารมณ์อ่อนไหวเท่านั้น แต่เขาจะต้องใส่ใจทำไมกันเล่า แม่เคยรักเขาเสียที่ไหนกัน ช่างเจ็บปวดเมื่อความจริงปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าให้ตระหนัก แม่คงจำเขาไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ

“ช่างมันเถอะ...” เขาพยายามสงบอารมณ์  เตือนตัวเองให้ลงไปที่ล็อบบี้

“รีบหน่อย  สาวสวยกำลังรอคนอย่างแกอยู่”


***

ถนนข้าวสารเปลี่ยนแปลงไปมากในความคิดของเขา  สมัยก่อนมันเป็นเพียงแค่ซอยเล็ก ๆ  ผู้คนและร้านค้ายังบางตา  เขารู้ดีเพราะเคยย่ำแถบถิ่นนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน  จากห้องพักใกล้คลองโอ่งอ่าง  เขาจะเดินทอดน่องไปตามทางเท้าผ่านบางลำภู ผ่านสถานีตำรวจชนะสงคราม  หากอารมณ์ดีก็จะแวะทักทายพ่อค้าขายบุหรี่ แม่ค้าขายเสื้อผ้า  หรือเด็กวัยรุ่นเหลือขอบางคนที่คุ้นหน้ากัน  จากนั้นเขาก็จะลัดเลาะผ่านตรอกแคบ ๆ ออกสู่ถนนอันกว้างใหญ่  ใช่แล้ว  โซนาต้าคลับมีชีวิตอยู่ที่นั่น...มันตั้งอยู่ตรงนั้น...ริมถนนราชดำเนินกลาง สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำอันยากแก่การลบเลือนไปจากหัวใจ

แล้ววันนี้เอง  เขาก็ได้กลับมาเยือนถิ่นเดิมอีกครั้ง  เขากำลังย่ำรอยเท้าในอดีตของตัวเอง  แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว แม้แต่เธอที่เคยเดินเป็นเพื่อนเขาก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ถึงกระนั้นเธอคนนี้ก็ยังมีลักษณะเด่นสะดุดตาผู้คน โดยเฉพาะกับผู้ชายหลากเชื้อชาติที่เดินผ่านไปมา   เธอสวมเสื้อยืดคอวีแขนกุดสีฟ้าอ่อน  กางเกงบลูยีนเอวต่ำรัดรูป  และรองเท้าส้นสูงสีเดียวกับเสื้อ ดูเรียบง่ายเหลือเกิน  แต่ก็ชวนให้ประทับใจในความงามไม่รู้ลืม  ชายหลายต่อหลายคนต้องถอนหายใจยามเธอเดินผ่าน  เขามองลึกลงไปในดวงตาของคนพวกนั้น   แววชื่นชมเธอช่างชัดเจนพอ ๆ กันกับริษยาในตัวเขา ขณะที่เธอเต็มไปด้วยความร่าเริงสดใส  มองโลกในแง่ดีราวเด็กน้อยที่กำลังเที่ยวเล่นซุกซนอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์  เขาคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่เอ่ยชวนเธอมาเดินเล่น  หลังรับประทานอาหารในร้านริมน้ำใกล้สะพานซังฮี้เรียบร้อยแล้ว   ในเวลานั้นเขาเพียงแค่อยากจะบอกเธอว่าเขาเคยเป็นของที่นี่มาก่อน  เมื่อเธอไม่ปฏิเสธ  มิหนำซ้ำยังแสดงอาการกระตือรือร้นออกมาเป็นพิเศษ  เขาก็ไม่รีรอที่จะคว้าโอกาสนี้ไว้   เธอช่างแสนดีและเชื่อฟังเขาเสมอ  ก่อนหน้านั้นเธอยอมจอดรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีดำไว้ที่โรงแรมรอยัลปริ๊นเซสตามคำแนะนำของเขา 
โดยเลือกเดินทางไปยังร้านอาหารด้วยรถแท็กซี่ และเมื่อเขาชวนเธอมาเที่ยวถนนข้าวสาร เธอก็นึกสนุกขอนั่งรถประจำทางแม้ว่ามันจะเก่าโทรม  ตัวถังนั้นทาสีครีมคาดน้ำเงิน  แต่ดูน่ารักเหลือเกินสำหรับคนที่ห่างเหินมานาน  เธอกับเขาเคียงคู่กันอยู่บนเบาะหลังด้วยท่าทีสนิทสนมราวกับคบหากันมาหลายปี เขารู้สึกยินดีไม่ต่างจากชายยากไร้ในละครผู้มีโอกาสได้นั่งรถม้าหรูหราร่วมกับหญิงสาวสูงศักดิ์  มีถ้อยคำเกิดขึ้นมากมายในรถโดยสาร  เป็นบทสนทนาที่กล่าวได้ว่าทำให้เขาประทับใจยิ่งนัก อย่างไรก็ตาม นั่นไม่อาจเทียบได้เลยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนถนนข้าวสารในเวลาต่อมา

“น่าแปลกใจจังค่ะ  อัญไม่เคยมาที่นี่เลยสักครั้งเดียว” เธอเอ่ยขึ้นหลังจากหมุนตัวมองไปรอบ ๆ  ผมยาวของเธอแกว่งไกว  คลี่กระจาย  แล้วสยายออก  เขาได้แต่ตะลึงมอง  ยามนั้นแม้ว่าแสงแดดจะลาลับไปหมดแล้วทว่าท้องฟ้ายังคงสว่าง เห็นเมฆฝนลอยสูงขึ้นไป  บรรดาร้านรวงบนถนนเริ่มทยอยกันเปิดไฟเพื่อดึงดูดใจนักท่องเที่ยว ชายญี่ปุ่นสองคนที่นั่งดื่มกินอยู่ในร้านอาหารตรงหัวมุมถนนพากันจ้องเธอแทบไม่กระพริบตา จากนั้นก็ทำท่าผงกศีรษะคำนับหลายครั้ง เธอยิ้มขวยเขินแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แล้วรีบชวนเขาเดินชมสินค้าริมทางซึ่งมีอยู่มากจนละลานตา ไม่นานนักก็มาหยุดแวะดูเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ร้านแผงลอยเจ้าหนึ่ง

“กระโปรงผ้าบาติกตัวนี้สวยดีนะคะ”

เธอหยิบกระโปรงยาวสีน้ำทะเลขึ้นมาดูอย่างชื่นชม  แล้วนำมาทาบลงบนเอวเล็ก ๆ ของเธอ  ชายกระโปรงพลิ้วไหวเมื่อต้องแรงลมซึ่งชื้นและเย็น  อีกไม่นานฝนคงตก เขาคิด

“ถ้าอัญชอบ ผมซื้อให้นะครับ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงการได้พบกันของเราในวันนี้”

เธอสบตาเขาแล้วยิ้มเปิดเผย ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวราวกับช่อดอกไม้ยามต้องลมฝน เกิดอาการปั่นป่วนวูบวาบแต่ก็มีความสุข  สักประเดี๋ยวหนึ่งก็เป็นทุกข์เพราะกลัวว่าช่วงเวลาดี ๆ เช่นนี้จะจบลงอย่างรวดเร็วเกินไป  ความสุขและความทุกข์สลับกันเวียนเข้ามาหาคล้ายต้องการหยอกล้อต่อหัวใจของเขา เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วนะสำหรับวันนี้  เขารำพึงอยู่ในใจตามด้วยความกังวล  เขาเตือนตัวเองว่าไม่ควรรู้สึกเช่นนี้  แต่คนเราสามารถเย็นชาต่อสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้อย่างนั้นหรือ  เขาถามตัวเอง 

“คุณโอมทำราวกับไม่ทราบว่าอัญเป็นเจ้าของโรงงานผ้าบาติก ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่โรงงานขนาดเล็กก็เถอะค่ะ” เธอกล่าวพร้อมกับยิ้มด้วยริมฝีปากและดวงตาคู่งามชวนหลงใหล

เขาพยายามตัดใจจากภาพตรงหน้าด้วยการหันไปมองเสื้อคอกลมแขนยาวตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ เสื้อหลากสีพวกนี้แขวนเรียงรายอยู่บนราวเหล็ก เขานึกชอบใจจึงคว้าเสื้อตัวหนึ่งมาเทียบขนาดกับไหล่ตัวเอง  แต่คงเป็นด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ของเขากระมัง  เธอจึงแย่งเสื้อไปจากมือและจัดการทาบลงบนไหล่จากทางด้านหลัง  นิ้วมือเรียวเล็กอันบอบบางของเธอแตะลงบนหัวไหล่  เขารู้สึกราวกับว่าเนื้อหนังตัวเองถูกสัมผัสโดยตรงจากมือน้อย ๆ นั้น  ไออุ่นที่ชำแรกลงไปก่อให้เกิดอารมณ์บางอย่างขึ้นในใจ  ช่างเป็นอารมณ์ที่ยากแก่การอธิบาย 

“ขนาดเอ็กซ์แอลกำลังพอดีค่ะ แขนยาวเลยข้อมือนิดหน่อย  ไม่สั้นเต่อเกินไป  ชอบหรือเปล่าคะ  อัญจะซื้อให้เป็นที่ระลึกถึงการได้พบกันของเราในวันนี้”

เธอทำท่าขบขันที่ได้ล้อเลียนคำพูดของเขา เขาส่ายหน้า  ยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวออกไปว่า “สำหรับผมคงไม่มีอะไรดีไปกว่าความทรงจำ จริง ๆ นะครับ แค่ได้จดจำไว้ว่าวันนี้...ใช่แล้ว...วันนี้  ...จดจำว่าอัญให้เกียรติมาเดินเที่ยวด้วย  นั่นแหละครับคือที่ระลึก ซึ่งผมจะไม่มีวันลืม”

แม้ว่าจะเป็นเพียงคำพูดเชย ๆ เขารู้ตัวดี  แต่ก็ทำให้แก้มของเธอกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ  แววตาของเธอสุกใสและเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย วินาทีต่อมาเธอก็หลบสายตาของเขา พร้อมกับทำท่าจะแขวนเสื้อตัวนั้นกลับเข้าที่เดิม  แต่เขารีบคว้ามาถือไว้อีกครั้ง เสื้อตัวนี้สีดำสนิทเหมือนคืนข้างแรม  เขารู้สึกชอบอย่างไรบอกไม่ถูก  ราคาของมันแค่ร้อยห้าสิบบาทตามที่แม่ค้าบอก  เขาเลยไม่ต่อราคา  แน่นอน กระโปรงสีน้ำทะเลตัวนั้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ลืม  เขาสั่งให้แม่ค้าพับใส่ถุงพลาสติกแยกต่างหากก่อนจ่ายเงิน

“ขอบคุณสำหรับกระโปรงค่ะ  ความจริงไม่จำเป็นเลย  อัญบอกคุณโอมแล้วนี่คะ ว่าอัญทำผ้าบาติกขายอยู่แล้ว”

“ไม่ต้องเกรงใจครับ ว่าแต่...เดี๋ยวเราไปหาที่นั่งดื่มอะไรกันดีกว่านะครับ คนชักเยอะ อัญคงทั้งร้อนทั้งเหนื่อยแล้ว”

เธอพยักหน้าตามใจ เขาจึงมองหาร้านที่มีบรรยากาศน่านั่งพักผ่อน  นั่นไงละ ห่างออกไปราวยี่สิบก้าวมีร้านขายเครื่องดื่มอยู่ร้านหนึ่ง ตกแต่งพื้นและผนังด้วยไม้สีน้ำตาล โต๊ะแต่ละตัวค่อนข้างห่างกัน  นอกจากนี้ภายในร้านยังเปิดแสงไฟสลัว  บรรยากาศเหมาะแก่การนั่งสนทนา  เวลานั้นร้านดังกล่าวมีลูกค้าไม่มากนักด้วยยังเป็นช่วงหัวค่ำ  เขาชี้ให้เธอดู  แต่เธอไม่ได้พูดอะไรนอกจากพยักหน้าเช่นเดิม เขาจึงพาเธอเดินเข้าไปเลือกที่นั่งในตำแหน่งซึ่งมองเห็นความเป็นไปบนถนนข้าวสารมากที่สุด

มีเสียงดนตรีแนวอาร์แอนด์บีล่องลอยอ้อยอิ่งอยู่ในบรรยากาศ  เด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาถามว่าต้องการรับเครื่องดื่มอะไรบ้าง เขาสบตาเธอแทนคำถาม หลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือที่เขาชอบดูประกายในดวงตาของเธอยิ่งกว่าการได้พูดคุยเสียอีก  อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นเธอถึงได้ชวนให้ประทับใจมากนัก 

“กาแฟเย็นค่ะ” เธอบอกเด็กสาว  น้ำเสียงของเธอฟังดูใสกระจ่างแต่กลับเบาเหลือเกิน  เขาอยากได้ยินเสีียงของเธออีกจนไม่รู้จะดื่มอะไรดี สุดท้ายก็สั่งเบียร์มาขวดหนึ่ง

มันเป็นยี่ห้อเดียวกับที่เคยทำให้เขาหายคิดถึงบ้านในบางเวลา  เมื่อดื่มขวดแล้วขวดเล่าในวันเหงา ๆ ที่นิวยอร์ก  ถึงแม้ว่าตามความเป็นจริงแล้วเขาไม่เคยมีบ้านในเมืองไทย  เขาเคยบอกอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ พร้อมทั้งอธิบายความคิดของตัวเองถึงสถานที่ซึ่งเหมาะจะเป็นบ้านอย่างแท้จริง  เขาว่าสถานที่นั้นจะต้องเต็มไปด้วยความรักความอบอุ่น   เหมือนความทรงจำบนเตียงนอนในวัยเด็กของเขา  ยามได้ตื่นขึ้นมาท่ามกลางความสดใส   ใช่ ถูกต้อง  เด็กน้อยควรตื่ีนขึ้นมาบนเตียงที่มีพ่อกับแม่นอนขนาบอยู่ข้างกาย  การได้นอนอยู่ตรงกลางทำให้รู้สึกปลอดภัย แม้จะสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกท่ามกลางความมืดก็ยังไม่หวั่นกลัวภูติผีใด ๆ  วันนั้นอาจารย์ไม่ได้ว่าอะไร  นอกจากทำเสียงเออออออกมา  แต่ก็ยังเผลอทอดถอนหายใจให้เขาเห็น

“ถ้าคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่  แล้วมาด้วยก็คงดีนะคะ ไม่แน่...อัญอาจจะขอลองดื่มกับคุณพ่อดูบ้างก็ได้   สำหรับคนชอบดื่มแล้วมันให้ความรู้สึกอร่อยยังงั้นหรือคะ”

“มันไม่ได้อร่อยแบบที่เด็กรู้สึกเวลากินขนม...” เขารีบทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญตั้งท่าอธิบาย  พลางสงสัยว่าทำไมเธอได้ถึงพูดถึงพ่อขึ้นมาอีก “คิดถึงอาจารย์หรือครับ” เขาอดถามไม่ได้

“ค่ะ” เธอพยักหน้าโดยไม่ยอมสบตา  ดูเหมือนดวงตาของเธอจะจับจ้องอยู่ที่แจกันแก้วบนโต๊ะซึ่งปักกุหลาบสีชมพูราคาถูกเอาไว้สามสี่ดอก  พวกมันใกล้เหี่ยวเฉาแล้ว  กลีบช้ำ ๆ กลีบหนึ่งร่วงหล่นลงบนโต๊ะ

“ภาพคุณพ่อในใจของอัญเคยเป็นแค่เงาราง ๆ  แต่ทันทีที่คุณโอมกลับมาเมืองไทย  แล้วมาหาอัญที่บ้าน  อัญก็รู้สึกราวกับว่าคุณพ่อได้ตามคุณโอมกลับมาด้วย จริง ๆ นะคะ คุณโอมพอจะเล่าเรื่องของคุณพ่อให้ฟังซักหน่อยได้ไหม อัญอยากฟัง” ถึงตรงนี้เธอก็ช้อนสายตาอันมีแววอ้อนวอนขึ้นมองเขา  นั่นทำให้จินตนาการของเขาล่องลอยไปไกล เขาเกิดความปรารถนาที่จะให้เธอมองเขาด้วยสายตาแบบนี้ในโลกอันลี้ลับ  โลกซึ่งมีเพียงเธอกับเขาสองคนเท่านั้น  คิดแล้วเขาก็อดที่จะรู้สึกละอายแก่ใจไม่ได้

เครื่องดื่มถูกนำมาวางลงบนโต๊ะ เขาชวนเธอยกขึ้นดื่มให้แก่ค่ำคืนนี้ อันที่จริงเขาอยากบอกว่าดื่มให้แก่มิตรภาพและความงดงามของเธอมากกว่า แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไปตามที่ใจคิด

“ผมจะเริ่มต้นตรงไหนดีนะ...” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ  จากนั้นก็นิ่งเงียบอยู่นานเหมือนต้องการทบทวนรายละเอียดในความทรงจำ  เพื่อบันดาลให้มันเกิดขึ้นอีกครั้งต่อหน้าของเธอ

“อาจารย์ทำงานหนักทุกวัน ที่นั่นไม่มีที่ยืนสำหรับคนเหลาะแหละ  พวกเขาจะนับถือกันก็เฉพาะแต่คนที่ทุ่มเทชีวิตให้กับงานศิลปะด้วยหัวใจ แม้กระนั้นมันก็อาจไม่เพียงพอต่อความสำเร็จ  ศิลปินอย่างเรา ๆ ต้องพยายามถึงขนาดถวายวิญญาณกันเลยทีเดียว อาจารย์เก่งทั้งงานจิตรกรรมและประติมากรรม  แต่อาจารย์เคยชี้ให้ดูงานวาดเส้นที่อาจารย์วาดภาพพอทเตรทผม แล้วบอกว่า...นี่คือลักษณะการวาดเส้นของประติมากร ถึงอย่างนั้นอาจารย์ก็ทำงานหลายประเภทไปพร้อมกัน แน่นอน มันออกมาดีเยี่ยมเสมอ  ผมมักจะช่วยอาจารย์ตระเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้  ล้างพู่กันหรือขึงแคนวาสให้บ้าง  บางครั้งก็ช่วยขึ้นดินน้ำมันตามแบบร่างเล็ก ๆ ที่อาจารย์ปั้นไว้  หรือไม่ก็ทำแม่พิมพ์สำหรับหล่อปูน   พูดไปแล้วน่าอายครับ ความจริงผมไม่ค่อยได้ช่วยผ่อนแรงให้อาจารย์สักเท่าไหร่  แม้ว่าช่วงแรกผมจะเดินทางไปทำงานที่นั่นในฐานะผู้ช่วยของอาจารย์ก็ตาม   ผมรักอิสระและฝังใจกับการทำงานในเวลากลางคืนมากกว่า  ขณะที่อาจารย์มักจะทำงานตอนกลางวัน บางช่วงเราไม่ได้พบหน้าหรือพูดคุยติดต่อกันหลายวัน แต่อาจารย์ใจดีมากและเข้าใจลูกศิษย์อย่างผมเสมอ”

เขาถอนหายใจยาวเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ จากนั้นถามเธอเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า รู้สึกอย่างไรกับภาพเขียนที่เขานำไปให้ “ยอดเยี่ยมมากค่ะ” เธอพยักหน้าช้า ๆ ท่าทางราวกับตื่นจากภวังค์  แล้วเธอก็กล่าวต่อไปว่า “เดี๋ยวนี้ทุกเช้าอัญจะต้องลุกขึ้นมานั่งมองภาพนั้นเสมอ  มองครั้งละนาน ๆ ด้วยค่ะ  ทีแรกอัญคิดจะแขวนภาพของคุณพ่อไว้ที่ห้องรับแขก แต่เปลี่ยนใจนำไปไว้ในห้องนอนแทน ไม่ใช่เพื่อเก็บไว้ดูคนเดียวหรอกนะคะ อัญรู้ว่าคุณแม่ไม่เคยหายโกรธคุณพ่อเลย  ทางที่ดีเราสองคนแม่ลูกไม่ควรมีปัญหาต่อกัน”

คำพูดของเธอทำให้เขามองเห็นภาพเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งร้องไห้วิ่งตามพ่อผู้กำลังจากไปไกล  ไกลมากเสียจนไม่อาจหวนกลับมาสวมกอดเธอได้อีก  ในทำนองเดียวกันเขาก็เห็นภาพของอาจารย์นั่งหม่นเศร้าอยู่ในสตูดิโอหลังจากการงานแต่ละวันเสร็จสิ้นลงอาจารย์ทำให้เขารู้สึกว่าเมื่อการทำงานยุติในตอนเย็นหรือค่ำ  ชีวิตที่เหลืออยู่ของท่านก็พลันว่างเปล่า  อาจารย์ต้องหลีกลี้หนีความรู้สึกดังกล่าวด้วยการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่อย่างหนัก  เพียงเพื่อเก็บเกี่ยวความเพลิดเพลินจอมปลอมมาเป็นรางวัลแก่ชีวิต หรือไม่ก็เพราะต้องการปิดปังความรู้สึกไว้ไม่ให้คนใกล้ชิดได้รับรู้

ในเวลาต่อมา  เขามองเห็นภาพใบหน้าภรรยาของอาจารย์  ทั้งภาพในอดีตอันไกลโพ้นและภาพปัจจุบันซึ่งเขาพบเห็นเมื่อไม่กี่วันก่อน  หล่อนร่วงโรยไปมาก  ความงดงามของบุตรสาวเท่านั้นที่ทำให้ผู้เป็นแม่ยังดำรงชีวิตอยู่ได้   เขายังสัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่หล่อนมีต่อเขา  นี่ไม่ใช่เรื่องยากเกินกว่าจะเข้าใจ  หล่อนคงรู้สึกว่าเขาคือเครื่องเตือนใจให้นึกถึงอดีตสามี  ศิลปินผู้ลุ่มหลงในอุดมการณ์และผลงานของตน หล่อนจึงหลบหน้าไป ปล่อยให้เธอต้อนรับเขาตามลำพัง

“อาจารย์ชอบนั่งดื่มเหล้าในตอนเย็นหลังทำงานเสร็จ” เขาดึงใจที่เลื่อนลอยกลับมาเพื่อเล่าเรื่องราวของอาจารย์ให้จบ “ดื่มอยู่คนเดียวครับ  ไม่ต่างจากนกหลงฝูงที่บินไปตามลำพัง  ช่วงเวลานั้นท่านมักไม่พูดจากับใคร ในสตูดิโอมีหน้าต่างอยู่บานหนึ่ง จากตำแหน่งที่อาจารย์นั่งอยู่ หากเรามองออกไปก็จะได้เห็นถนนสายหนึ่ง  ถนนสายที่ว่านี้ทอดยาวจนดูรางเลือนหายไปในอากาศขมุกขมัว  ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง  มันจะเป็นมุมมองที่ทำให้เหงาและเศร้าจับใจ  จนอดคิดถึงบ้านหรือใครสักคนที่เรารักไม่ได้...” เขาหยุดพูดไปชั่วขณะเมื่อเล่าถึงตรงนี้  ริมฝีปากแทบจะเม้มเป็นเส้นตรง  เขาถอนหายใจยาว จากนั้นพยายามเล่าต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมมักหลีกเลี่ยงการนั่งตรงนั้นเพราะยังไม่อยากฆ่าตัวตาย  ได้แต่สงสัยว่าทำไมอาจารย์ถึงทนดูอยู่ได้ทุกวี่วัน ที่แย่ก็คือผมไม่กล้าเตือนอาจารย์เรื่องสุขภาพซึ่งทรุดโทรมจากการดื่มเหล้า เพราะผมเองก็ดื่มเหมือนกัน ไม่มีหน้าจะไปเตือนท่านได้  แต่...ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม  ผมรู้สึกตัวเสมอว่า ความตายก่อนวัยอันควรของอาจารย์เป็นความผิดของผมด้วย  ผู้ชายอายุแค่ห้าสิบเก้าปี น่าจะอยู่ดูโลกได้อีกนาน  ถ้าเพียงแต่ผม...”

“คุณพ่อไม่มีใครดูแลเลยหรือคะ หมายถึงไม่ได้แต่งงานใหม่หรือคะ” เธอขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“อาจารย์แต่งงานใหม่กับงานของท่านไปนานแล้ว งานเป็นสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ อัญน่าจะได้เห็นเวลาที่มีนักข่าวมาขอสัมภาษณ์อาจารย์ที่สตูดิโอ  ในห้วงเวลาเช่นนั้นอาจารย์จะชี้ชวนให้ทุกคนดูผลงานทั้งเก่าและใหม่อย่างมีความสุข  ไม่บ่อยนักหรอกที่ใครจะได้เห็นท่านยิ้มเบิกบาน ผู้คนที่นั่นให้การยอมรับนับถืออาจารย์มากทีเดียว  ผมถึงกับตั้งใจแน่วแน่ว่าอย่างน้อยก็จะขอเดินทางไปให้ถึงจุดที่ท่านยืนอยู่  อาจารย์เป็นศิลปินชั้นยอด  น่าเสียดายที่อายุสั้นเกินไป  ผมไม่รู้เลยว่าเย็นวันนั้นอาจารย์จะเดินออกไปสวนสาธารณะในสภาพเมามาย  แล้วออกไปทำไมทั้งที่หิมะเริ่มตกลงมาบ้างแล้ว  มีชายไร้บ้านคนหนึ่งเห็นอาจารย์หลับอยู่ที่นั่นทั้งคืน  ผลสุดท้ายก็อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังแล้ว อาจารย์ล้มป่วยลงด้วยโรคนิวมอเนีย  ร่างกายของท่านไม่ค่อยแข็งแรงมาหลายปีแล้วด้วย  แต่ก็ไม่ยอมรักษาตัวตามคำแนะนำของแพทย์  แม้จะเป็นทั้งความดันสูงและโรคหัวใจ น่าเสียดาย...”

“ค่ะ น่าเสียดาย” เธอทำตาแดง ๆ  ใบหน้างดงามหมองลงด้วยความเศร้า “อัญอยากมีโอกาสดูแลคุณพ่ออย่างคุณโอมบ้างเหลือเกิน...”

แสงจากโคมไฟตรงผนังซึ่งส่องลงมาบนโต๊ะสะท้อนกับหยาดน้ำตาใส ๆ  เธอพยายามฝืนยิ้มออกมา  แม้กระนั้นก็ยังเป็นเพียงรอยยิ้มอันแสนเศร้าอยู่ดี เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปอีก ไม่รู้ว่าจะวางมือไว้ตรงไหน  หรือทำท่าทางอย่างไรให้เหมาะแก่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้   ได้แต่ยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดไปเกือบครึ่ง  ยามนั้นเบียร์ในแก้วไม่เย็นเสียแล้ว  พลันฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก บรรดานักท่องเที่ยวพากันวิ่งเข้าหาที่กำบัง พ่อค้าแม่ค้าคลี่ผ้าใบและแผ่นพลาสติกคลุมสินค้าอย่างเร่งร้อน   ถนนข้าวสารซึ่งก่อนหน้านี้พลุกพล่านได้กลายเป็นเส้นทางอันว่างเปล่า   มีเพียงเสียงสายฝนกระทบกันสาดผ้าใบและเสียงดนตรีในร้านเท่านั้น  ที่ยังคงขับกล่อมเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลา เขามองสายน้ำซึ่งหลั่งไหลลงมาจากชายคาด้านหน้า  พร้อมกับคิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

“พรุ่งนี้คุณโอมว่างหรือเปล่าคะ”

“มีอะไรหรือครับ” เขาหันหน้ามาถาม

“อัญจะไปนครปฐมค่ะ  อัญให้เพื่อนที่นั่นติดต่อทางวัดพระงามไว้แล้ว  เรื่องทำบุญเลี้ยงพระกับสถานที่สำหรับบรรจุอัฐิของคุณพ่อน่ะค่ะ ทราบมาว่าคุณพ่อเคยมีพื้นเพอยู่ที่นั่น เลยคิดว่าจะเป็นการดีกว่าไหมหากนำอัฐิของคุณพ่อกลับไปบ้านเกิด  ถ้าคุณโอมไม่ติดธุระอะไร เราสองคนไปด้วยกันนะคะ อัญไม่ได้ชวนคุณแม่ไปด้วยหรอก  ถึงชวนท่านก็คง...”

“ครับ” เขารับปากง่ายดาย  รู้สึกเต็มใจโดยไม่คิดจะขัดขืน คงไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าพอจะละทิ้งความสุขซึ่งกำลังเดินทางมาถึง  เว้นเสียแต่ว่ามนุษย์ผู้นั้นมีความจำเป็นบางประการ หรือไม่ก็โง่งมจนไม่อาจแยกแยะว่าอะไรคือความทุกข์หรือความสุข 

“อันที่จริงถ้าไม่ใช่เป็นเพราะคำสั่งของอาจารย์  ผมคงนำร่างอาจารย์กลับมาประกอบพิธีที่เมืองไทย  แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะสูง  ถึงยังไงเงินของอาจารย์ก็มีมากพออยู่แล้ว” ดวงตาอันเปี่ยมด้วยความเสียใจของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของอีกฝ่ายหนึ่ง “พูดถึงเรื่องเงิน  แล้ว  อัญคิดจะทำยังไงกับพินัยกรรมครับ  ผมอยากให้เสร็จเรื่องโดยเร็ว  วิญญาณของอาจารย์จะได้หมดกังวล  ท่านคงอยากให้อัญได้ในสิ่งที่ท่านมีอยู่และตระเตรียมไว้แล้ว จะเรียกว่าเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายก็ได้กระมังครับ”

เธอส่ายหน้าจนเส้นผมยาวหยักศกสีน้ำตาลพลิ้วไหวไปมา  มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้ายกลิ่นดอกไม้รวยรินอยู่ในอากาศชื้น ๆ   เขาแอบดอมดมกลิ่นหอมนั้น  พร้อมกับปรารถนาให้นี่คือความฝัน  เป็นความฝันที่เขาไม่จำเป็นต้องตื่นอีกต่อไป
 
“อัญไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้เลยค่ะ  เพราะจะทำให้อัญคิดถึงคุณพ่อมากขึ้น  อัญจึงตัดสินใจมอบอำนาจให้ทนายความของคุณแม่ไปดำเนินการทั้งหมดแล้ว  คุณโอมอย่าห่วงเลยค่ะ”

“ดีครับ  อืมม์...มานึก ๆ ดูแล้วก็มีเรื่องหนึ่งซึ่งผมยังเสียดายอยู่ไม่หาย  ก็เรื่องที่อาจารย์ยกภาพเขียนให้อัญแค่ภาพเดียว  งานที่เหลือมอบให้หอศิลป์ท้องถิ่นจนหมด”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ  แค่ภาพนั้นภาพเดียวอัญก็พอใจมากแล้ว  อัญรู้สึกได้ว่าเป็นภาพที่คุณพ่อรักมาก  เป็นยังงั้นใช่ไหมคะ”

เขาพยักหน้าพลางมองดูเธอ  ครั้นเห็นเธอสบตาแน่วแน่ไม่ยอมหลบเลี่ยงเหมือนเคย จึงเป็นฝ่ายหลบสายตาของเธอเสียเอง  ยามนั้นฝนเริ่มซาเม็ดแล้ว ผู้คนทยอยกันออกไปเดินเล่นบนถนนข้าวสารตามเดิม 

อยากให้ฝนตกลงมาอีกครั้งเหลือเกิน เขารำพึงอยู่ในใจ   หากฝนตกลงมาจริง   เขาก็อยากให้เป็นครั้งที่ยาวนานที่สุด  ทว่าความเพ้อฝันนี้ไม่อาจเป็นจริง ธรรมชาติไม่เคยตามใจมนุษย์   นอกจากจะให้รางวัลเป็นบางครั้งและลงโทษในบางคราว เขารินเบียร์ที่เหลือในขวดลงแก้วจนหมด  ก่อนจะดื่มอีกครั้ง  ทว่าเบียร์ไม่เย็นและชืดชา

เวลาผ่านไป  บทเพลงก็เปลี่ยนตามไปด้วย  จากอาร์แอนด์บีกลายเป็นเสียงเปียนโนหวานแช่มช้าจากภาพยนตร์เรื่อง เดอะ ลีเจนด์ อ็อฟ 1900  บทเพลงบรรเลงผ่านลำโพงออกมาอย่างแผ่วเบา ละเมียดละไมแต่ชวนให้รู้สึกเซื่องซึม  เธอกับเขาเปลี่ยนมาคุยกันด้วยเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับกรุงเทพมหานคร   เป็นบทสนทนาที่ทำให้เขากลับมาสนุกได้เช่นเดิมจนรู้สึกว่าเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว  เขาคิดด้วยความเสียดาย  ยามนี้ผิวถนนดูเหมือนจะแห้งดีแล้ว  ถนนข้าวสารคืนสู่สภาพเดิม  เต็มไปด้วยแสงสี  ผู้คนและความมีชีวิตชีวา

เขากวักมือเรียกพนักงานมาเก็บเงินค่าเครื่องดื่ม จากนั้นเอ่ยชวนเธอออกเดินเล่นไปตามท้องถนน  ขาเรียวยาวในกางเกงยีนรัดรูปบนรองเท้าส้นสูงเหมาะแก่การเดินอวดความงามมากกว่า  เขาคิดด้วยอารมณ์อยากโอ้อวดเธอต่อชาวโลก  ผู้คนยังคงให้ความสนใจเมื่อเธอเดินผ่านไป  ชั่วโมงถัดมาเขาก็ตัดสินใจชวนเธอนั่งแท็กซี่กลับโรงแรมรอยัล ปริ๊นเซส  เธอจอดรถไว้ที่นั่น

ตรงลานจอดรถของโรงแรม เขากล่าวคำอำลาสั้น ๆ  แน่นอน เขาไม่ลืมมอบถุงใส่กระโปรงผ้าบาติกตัวนั้นให้แก่เธอ
 
“คุณโอมคะ เราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่าคะ”

จู่ ๆ เธอก็ลดกระจกลงมาถามด้วยสีหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้ “อัญหมายถึง....ก่อนหน้าที่คุณโอมจะกลับมาเมืองไทย  แต่...ไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้” เธอส่ายหน้าไปมาและหัวเราะเบา ๆ

“สักวันหนึ่งผมจะบอกอัญครับ” มีรอยยิ้มตรงมุมปากของเขาเมื่อพูดจบ ในแววตานั้นมีร่องรอยของความสนุกสนานเหมือนเด็กโตที่ได้แกล้งเด็กเล็กด้วยความเอ็นดู 

เขารอจนกระทั่งเธอขับบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีดำพ้นประตูใหญ่ของโรงแรมแล้วจึงเดินตรงเข้าไปในล็อบบี้ หยุดแวะขอกุญแจห้องจากพนักงานต้อนรับหลังเคาน์เตอร์  จากนั้นขึ้นลิฟท์กลับสู่ห้องพัก  เขาทิ้งตัวลงบนอาร์มแชร์ข้างโทรทัศน์ อดคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ตอนเย็นจนถึงเหตุการณ์ในลานจอดรถไม่ได้ ถ้าเพียงแต่เธอจะไม่ใช่ลูกสาวที่อาจารย์รักและเป็นห่วง  เรื่องคงง่ายแก่การคิดฝันมากกว่านี้  ทันใดนั้นเขาก็ตำหนิตัวเองทันที

“ออกจะหลงตัวเองมากเกินไปแล้ว  ไอ้แก่เอ๋ย”  เขาพึมพำออกมาเมื่อตระหนักว่าเธออายุอ่อนกว่าเขาถึงสิบหกปีทีเดียว “ฝันไปเถอะ แกมันดูแลใครไม่เป็นหรอก”

เขาพยายามสะบัดหน้าแรง ๆ เพื่อให้หายจากความฟุ้งฝัน  ทว่าภาพของเธอราวกับประทับนิ่งอยู่ในดวงตาด้านในของเขา  ในจิตวิญญาณของเขา  แต่ใช่เธอจริง ๆ หรือ  เขาพยายามทบทวน
 
“บัว...” เขาครางออกมาด้วยความรวดร้าว

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่แน่ชัด  ท่ามกลางความรู้สึกโดดเดี่ยวที่อบอวลอยู่ภายในห้องพัก  รวมถึงความสับสนที่ก่อตัวขึ้นและไม่ยอมเสื่อมสลายไป  ทำให้เขาต้องพรวดพราดยืนขึ้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้  ร่างของเขาสั่นเทิ้มและหายใจหนักหน่วง  เขาลังเลกระสับกระส่าย  ความคิดในหัววิ่งวนไปมาไม่รู้จบสิ้น  สุดท้ายก็ผลุนผลันเดินออกจากห้องพักไป

คืนนี้บรรยากาศภายใต้แสงสลัวของเดอะวอร์ในซอยลาดพร้าว 101 ยังคงไม่แตกต่างจากทุกคืน   เต็มไปด้วยเสียงสรวลเสเฮฮาของนักเที่ยวหนุ่มสาววัยทำงาน ท่ามกลางเสียงดนตรีอันอัดแน่นอยู่ภายในห้องกว้างซึ่งควันบุหรี่อบอวลเป็นม่านหมอกสีเทา โดยรวมแล้วไม่ถือว่าเป็นสถานที่หรูหราอะไรเลย แค่อาคารพาณิชย์ขนาดสองคูหาที่ได้รับตกแต่งภายในสไตล์ล็อคเคบิน  แต่เดอะวอร์ก็มีกลุ่มลูกค้าขาประจำคอยแวะเวียนมาเยือนไม่ขาด พวกนี้ทำงานหรือมีบ้านพักอยู่ย่านบางกะปิและคลองจั่น บางกลุ่มก็เป็นคนแถวลาดพร้าวนี่เอง  ต่างมารวมตัวกันเพื่อเติมความคึกคักให้แก่ชีวิตด้วยวิสกี้และอาหารราคาพอเหมาะกับรายได้  แน่นอน  สิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือบทเพลงจากนักดนตรีฝีมือพอใช้ได้จำนวนสี่ห้าคนกลางเวที  เดอะวอร์มีชีวิตชีวาทุกคืนตั้งแต่สองทุ่มอย่างเนิบนาบ แล้วไปเร่งเร้าหนักหน่วงจนแทบจะลืมตัวลืมใจเอาตอนห้าทุ่มครึ่ง  กระทั่งผ่อนคลายและสิ้นสุดความสนุกชนิดสาสมใจเมื่อเวลาสองนาฬิกาของวันใหม่ 

จังหวะที่เขาก้าวเข้าไปในเดอะวอร์นั้นเป็นเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่งแล้ว นักดนตรีเพิ่งตระเตรียมเครื่องดนตรีเสร็จและกำลังเริ่มต้นบรรเลงเพลงแรก  หลังจากปล่อยให้ลูกค้านั่งฟังเพลงจากแผ่นซีดีอยู่นาน  มันเป็นเพลงไทยแช่มช้าซึ่งเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน  แต่คาดว่าคงรู้จักกันแพร่หลาย   เนื่องจากผู้คนพากันปรบมือเสียงดังเมื่อมันจบลงอย่างน่าประทับใจ

เขาได้ที่นั่งติดกับกระจกหน้าต่างบานใหญ่บริเวณด้านหน้า  จากจุดนี้เขาสามารถทอดสายตาดูท้องถนนได้กว้างไกล แม้ว่าเวลาหันกลับมามองวงดนตรีจะเห็นแต่เพียงด้านหลังนักร้องนักดนตรีก็ตาม  แต่เขาก็พึงพอใจที่ได้นั่งตรงนี้  อย่างน้อยก็สามารถเห็นความเป็นไปภายในร้านได้อย่างทั่วถึง

เด็กสาวคนหนึ่งเดินกระชดกระช้อยเข้ามาหา  เธอมีเรือนร่างกะทัดรัดและผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียน  หน้าตาก็คมขำน่าเอ็นดู  เธอแต่งกายง่าย ๆ ด้วยเสื้อกล้ามสีดำและกางเกงยีนรัดรูปสีเดียวกัน  นาทีนั้นเธอสอบถามความต้องการของเขาด้วยรอยยิ้มเย้ายวนใจ  เขาน่าจะสนุกไปกับเธอและบรรยากาศของที่นี่ ทว่าความเศร้าอันแปลกประหลาดกลับไหลรินอย่างช้า ๆ เข้าสู่ห้วงความคิดของเขา พร้อมกับตะเบ็งเสียงถามเขาว่า...แกมาทำอะไรอยู่ที่นี่  นั่นสินะ  เขามาทำไมและเพื่ออะไร

“ตกลงพี่รับชีวาสขวดนึงนะคะ  มิกเซอร์ก็มีโซดากับน้ำแข็งแล้วรับน้ำโพลาริสด้วยมั้ยคะ”

เขาสั่นหน้า พร้อมกับพยายามมองหาใครบางคน

“อาหารล่ะ พี่คงเพิ่งมาครั้งแรก ลองสั่งยำสมุนไพรทอดกรอบของเดอะวอร์ดูไหมคะ หนูรับรองว่าพี่ต้องสั่งเพิ่มแน่ ถ้ากินแล้วไม่อร่อย พี่จะลงโทษหนูยังไงก็ได้”

คำพูดของเธอทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้  เธอคงคิดว่าผู้ชายตรงหน้าคนนี้คงกำลังอยากลงโทษเธออยู่กระมัง 

“เอามาลองดูสักจาน” เขาไม่ใช่คนเรื่องมากในเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว “หากับแกล้มอร่อย ๆ มาอีกซักสองสามอย่างด้วยนะ อะไรก็ได้ เอามาเถอะ” 

เธอส่งยิ้มหวานให้อีกครั้ง  ก่อนจะผละไปที่เคาน์เตอร์บาร์  เขามองตามเอวคอดสะโพกผายของเธอไปอย่างไม่ตั้งใจนัก  จึงสังเกตเห็นว่าใกล้ ๆ กันกับเคาน์เตอร์บาร์มีโต๊ะไม้สีน้ำตาลไหม้ตัวหนึ่งตั้งชิดผนัง บนโต๊ะจัดวางภาพวาดเทพเจ้าตามคติความเชื่อของจีน สิ่งที่สะดุดตาเป็นตะเกียงแก้วโบราณคู่หนึ่ง  มันวางขนาบอยู่ข้างภาพวาดเทพเจ้าองค์นั้น เปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นภายในหลอดแก้วทำให้ความทรงจำของเขาสว่างวาบและสดใหม่อีกครั้งหนึ่ง  กลิ่นหอมของอดีตโชยมาอย่างช้า ๆ ทว่าชัดเจนเหลือเกิน  วันนั้นเธอชวนเขาเข้าไปในร้านขายของโบราณเพื่อซื้อตะเกียงแก้วคู่นี้ ภาพของวันเก่า ๆ ชัดเจนราวกับเพิ่งจะผ่านมาได้ไม่นานนัก  ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะสามารถดูแลรักษาข้าวของพวกนี้ไว้ได้เป็นอย่างดี

ขณะจมดิ่งกลับสู่อดีต  เขาก็ต้องเผยอยิ้มตอบให้สาวเสิร์ฟที่มักจะเหลียวหลังกลับมามอง และส่งยิ้มให้เขาอยู่เป็นระยะ ๆ   ระหว่างที่เธอยืนรอเครื่องดื่มจากบาร์เทนเดอร์  เขาสัมผัสได้ถึงความสนใจที่เธอมีให้  แต่เขาเองไม่มีแก่ใจจะสานต่อ   ความสนุกเยี่ยงนี้ยากจะให้ความอบอุ่นแก่หัวใจแม้เพียงน้อยนิด  เขารู้ดี แล้วเขาต้องการอะไรกันแน่   มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อเสพสุขกับสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้เป็นของขวัญหลังทำงานตามคำสั่งหรอกหรือ  ช่างมันเถอะ คืนนี้เขายังไม่คิดจะหาเพื่อนนอนแปลกหน้า  เขาคิดว่าตัวเองควบคุมเรื่องนี้ได้   มันไม่ใช่ปัญหาใหญโตนัก  จะว่าไปแล้วสิบแปดปีที่ผ่านมานี้   เขาไม่ได้จริงจังกับผู้หญิงคนไหนอีกเลย   แม้ที่นิวยอร์กจะมีหญิงสาวมากมาย   อาชีพศิลปินและบุคลิกของเขามักจะดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้ามได้ดีเสมอ   แต่เขาค่อนข้างเฉยชา  ไม่ดิ้นรนขวนขวายเพื่อตอบสนองความปรารถนา  นอกจากบางคืนที่มึนเมาไปกับเหล้ารสดีในงานปาร์ตี้ของเพื่อนศิลปินด้วยกัน   หากเป็นเช่นนั้นมันก็อาจจบลงด้วยการตื่นขึ้นมาในตอนเช้า   แล้วพบว่ามีสาวต่างชาตินอนอยู่ข้างกาย   จริงอยู่ที่มันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนักด้วยเขามักจะรู้สึกไม่ประทับใจกับรสชาติของมันสักเท่าไหร่  มีบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมากได้ขาดหายไปในความสัมพันธ์นั้น   ซึ่งออกจะเป็นเรื่องชวนให้ผิดหวังอยู่ไม่น้อย

บทเพลงจากวงดนตรีเบื้องหน้าร้อนแรงขึ้นทุกขณะ   ความสนุกประโลมโลกฟุ้งกระจายไปดุจเดียวกับควันบุหรี่ เสียงพูดคุยก็เอ็ดตะโรอื้ออึงสับสน เขาดื่มวิสกี้หมดไปแล้วสามแก้ว เด็กสาวคนเดิมหมั่นเดินมาผสมเหล้าให้อย่างเอาใจใส่ เมื่อเธอเห็นว่าแก้วของเขาพร่องลงต่ำกว่าครึ่ง  แต่อาหารบนโต๊ะถูกปล่อยทิ้งให้เย็นชืด  ไม่ใช่ว่ารสชาติไม่อร่อย  อาหารไทยยังคงถูกปากเขาเสมอ  หากความจริงเป็นเพราะคืนนี้เขาต้องการดื่มเหล้าอย่างเดียวมากกว่า นี่เขากำลังสร้างความกล้าจากเหล้าที่ดื่มอยู่ใช่ไหม  เขาอดถามตัวเองไม่ได้  เขาต้องการความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจได้พบในเดอะวอร์ เขามาที่นี่เพื่อพบเธอเพราะคิดถึงเธอหรืออย่างไรกัน  แล้วทำไมไม่สามารถซ่อนความรู้สึกนี้ไว้ได้ดังเดิมเหมือนก่อน  เขาควรจะซ่อนมันไว้ให้ลึกเร้นที่สุด  แล้วหวนคืนสู่โลกของเขาเพื่ออยู่ตามลำพังเหมือนที่ผ่านมา หลายครั้งทีเดียวที่เขาคิดว่าควรรีบกลับไปอเมริกา  งานและชีวิตของเขาอยู่ที่นั่น   แต่...เขายกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอย่างอัดอั้นตันใจจนเกลี้ยง  แล้วยังต้องการอีก

จังหวะนั้นเองที่มือของใครคนหนึ่งเอื้อมมาคว้าแก้วเหล้าของเขาไปถือไว้ ไม่ใช่มือเล็ก ๆ ของเด็กสาวผิวสีน้ำผึ้ง แต่เป็นมือผู้ชายผิวดำคล้ำ  แสนจะเทอะทะ  อีกทั้งหยาบกร้าน

ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมอง  เขาก็ต้องตะลึงแกมดีใจ  มันนั่นเอง ไม่ผิดตัวแน่นอน  ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ยังจำมันได้ดีเสมอ   มันเองก็ทำท่าราวกับเห็นผี   เขาคิดด้วยความขบขัน  สิบแปดปีมานี้เหมือนตายจากกันจริง ๆ 

“ไอ้โอม  เฮ้ย นี่เอ็งจริง ๆ ใช่มั้ย ให้ดิ้นตายซีวะ ข้ายังไม่เมาพอจะตาฝาดนี่หว่า  ใช่เอ็งจริง ๆ นั่นแหละ  ไอ้ระยำเอ๊ย  ไว้ผมซะยาว   ยังหล่อลากดินไม่เปลี่ยนนะเว้ย  ฮา ฮา  แหม ข้าอยากเตะเอ็งจริง ๆ ว่ะ เอ็งมันมัวไปมุดหัวอยู่แต่เมืองนอก ไม่ยอมกลับมาเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูงมั่ง ข่าวคราวอะไรก็ไม่รู้จักส่งมา เอ็งนี่มันใจดำชะมัด...”

ระหว่างคำพูดอันยืดยาว  เขาสังเกตดูความเปลี่ยนแปลงของมัน   ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก  ร่างกายยังคงล่ำสันแข็งแรงดี แม้จะดูบวมฉุไปบ้าง  มีริ้วรอยยับย่นบนใบหน้าและหางตาเพิ่มขึ้นเยอะ แต่ว่าไปแล้วในชุดสากลสีดำมันก็ดูภูมิฐานพอสมควร 

“ชงเหล้าเสียทีสิ  แก้วในมือนายนั่นแหละ  ถืออยู่ตั้งนานแล้ว” เขาตะเบ็งเสียงแข่งกับดนตรี

มันหัวเราะลั่น  สีหน้าสีตาเหมือนยังไม่อยากเชื่อว่านี่คือความจริง  ก่อนจะหันไปทางไซด์บาร์ข้างโต๊ะแล้วยกขวดเหล้ารินลงในแก้ว กำลังจะเทโซดาเด็กสาวคนเดิมก็รีบเข้ามาแย่งแก้วไปผสมเองด้วยความว่องไว เขารีบทำท่าบุ้ยใบ้ให้รินเหล้าเพิ่มอีกแก้วหนึ่งสำหรับมัน  ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งจ้องเขาอยู่

“มาชนกันหน่อย” เขาชวน ใบหน้าเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม “ดื่มให้แก่อะไรดีล่ะ”

“มิตรภาพไงเพื่อน  ใช่มั้ย  เราควรดื่มให้แก่มิตรภาพ”

เขายิ้มพลางคิดถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมาอีก

“ได้เลยเพื่อน เอ้า ชนแก้ว”

เสียงแก้วเหล้ากระทบกันดังกังวาล แม้เสียงดนตรีจะกระหึ่มอยู่รอบทิศ

“ดื่มให้แก่มิตรภาพของเรา”

มันกับเขาเอ่ยขึ้นพร้อมกัน แล้วดื่มจนหมดในคราวเดียว  เหมือนกับที่เคยทำในอดีต ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขายังดื่มเหล้าไม่ชำนาญเช่นทุกวันนี้

เด็กสาวรับแก้วไปผสมใหม่  เธอน่ารักและบริการลูกค้าได้เป็นอย่างดี เขาคิดว่าควรให้รางวัลแก่เธอบ้าง แต่จะเป็นอะไรดีนี่สิ  สิ่งที่เธอต้องการอย่างนั้นหรือ   

“เฮ้ย ไอ้โอม  เอ็งกลับมาเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไหร่วะ  เออ ความจริงข้าควรจะถามว่า  เอ็งกลับมาได้กี่วันแล้ววะ  ทำไมเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้   ไม่รอให้แก่หง่อมเสียก่อนล่ะ  รู้มั้ยตอนนี้ข้าก็ยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองอยู่ดี  เหลือเชื่อจริง ๆ ว่ะ  ในที่สุดเอ็งก็กลับมา...กลับมาในขณะที่ทุกคนยังจำเอ็งได้  ไอ้เพื่อนยาก”

“เรากลับมาได้สองสามวันแล้ว พอดีเพิ่งเสร็จธุระ เลยมีเวลาแวะมาเยี่ยมนาย”

มันมองหน้าเขาแล้วนิ่งไปชั่วอึดใจ  ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงฉงน “ว่าแต่เอ็งรู้ได้ไงวะ ว่าข้าอยู่นี่”

“จ๋าเป็นคนบอกเอง เอ๊ะ แสดงว่านายยังไม่รู้...”

“จ๋างั้นเรอะ”

“ใช่ แต่นายคงไม่เข้าใจผิดหรอกนะ ว่ากันตามจริง  สมัยนี้ใคร ๆ เขาก็ค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตด้วยกันทั้งนั้น แย่หน่อยตรงที่เราสืบค้นที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ของใครไม่ได้เลย นอกจากของจ๋าคนเดียว  คงเพราะความที่จ๋าเป็นนักเขียนนั่นเอง  เมื่อคืนก่อนก็เลยแวะไปที่บ้านของจ๋า อืมม์ ก็บ้านนายด้วยใช่ไหม เราเพิ่งรู้นะเรื่องนั้น  แต่ยังไงก็ต้องขอแสดงความยินดีย้อนหลังอย่างจริงใจ  ดีใจนะที่นายลงเอยกับผู้หญิงดี ๆ อย่างจ๋า”

“ไม่เป็นไรหรอก” มันเหยียดยิ้ม “กินเหล้ากันดีกว่า  คืนนี้ขอเมาหน่อยเถอะวะ  นาน ๆ เจอกันที  เอ็งจำครั้งสุดท้ายที่พวกเราเมากันได้หรือเปล่า   เมาซะปลิ้นเลย  แล้วก็ชกกันไง  ฮ่าฮ่า  เวลาระยำนี่มันช่างผ่านไปไวดีแท้  ไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ ให้ตายเถอะ”

“นายเมาได้ด้วยเรอะ กำลังทำงานอยู่นี่” เขาถามยิ้ม ๆ

“บัวไม่ว่าหรอก อ้อ เอ็งคงรู้แล้วซีนะ ว่าผับนี่เป็นของบัว  ถ้าเป็นของข้าก็ดีสิ  อย่างที่ข้าเคยฝันไว้ไงละ เอ็งยังจำได้มั้ย เดี๋ยวนี้ก็ยังฝันอยู่นะ ข้าอยากมีร้านแบบนี้เป็นของตัวเอง แต่ไม่เคยทำได้สักที  คงขึ้นกับวาสนาด้วยมั้ง  ดูอย่างบัวสิ  ไม่เห็นเคยมีความใฝ่ฝันอะไรกับใครเขาเลยกลับทำได้  ส่วนจ๋าก็ไปได้เรื่อย ๆ  แล้วเอ็งล่ะเพื่อน  เอ็งวิ่งไล่ตามความฝันของเอ็งทันหรือยัง  สำหรับข้าแล้วความฝันคงเป็นได้แค่เงาเท่านั้น”

เขาแทบจะไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น  หัวใจไหววูบรุนแรงตั้งแต่ได้ยินชื่อของเธอ  ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้เขาพยายามสอดส่ายสายตามองหาอยู่แทบตลอดเวลา เขาอยากถามถึงเรื่องราวของเธอเหลือเกิน  ทว่าก็ไม่ได้พูดออกไป 

“ไงวะ เป็นอะไร ไม่เห็นตอบ”

“ก็งั้น ๆ แหละ  ยังอีกไกล” เขาพยายามพูดให้น้ำเสียงเป็นปกติ “นายเองก็อย่าเพิ่งเลิกฝัน  คนเราถ้าไม่มีความหวัง  มันก็ไม่ต่างจากคนที่ตายไปแล้ว”

“ใช่ ข้าจำคำพูดของเอ็งได้เสมอ ข้าถึงไม่เคยหยุดฝันไง  แม้มันจะเลือนรางเต็มทีก็เถอะ” มันกล่าวด้วยสำเนียงเศร้า ๆ

“พูดถึงเรื่องงาน  เออ จริงสิ  เราลืมเอาภาพพิมพ์ไม้มาให้นายด้วย  เป็นของฝากน่ะ แต่ช่างเถอะ นายคงได้เห็นแล้ว”

“ภาพพิมพ์งั้นรึ แต่...เฮ้ย ระดับเราสองคนไม่ต้องมีของฝากหรอก  แค่เอ็งโผล่หน้ามาข้าก็ดีใจแย่แล้วว่ะ”

เขายกแก้วเหล้าขึ้นจิบอีก  ก่อนตัดสินใจดื่มจนหมดโดยไม่รอเพื่อน  เด็กสาวทำท่าจะเอื้อมมือมาที่แก้วเหล้าว่างเปล่าของเขา  แต่มันสั่งให้ไปดูแลโต๊ะอื่น  เธอทำอิดออดจนมันต้องพูดย้ำอีกครั้ง

“โต๊ะนี้พี่จัดการเอง”

ขณะนั่งดูมันผสมเหล้า หัวใจเขาก็ล่องลอยย้อนกลับไปสู่สมัยทำงานอยู่ในโซนาต้าคลับอันหรูหรา ช่วงเวลานั้นเขาต้องผสมเครื่องดื่มราคาแพงให้ลูกค้าภายใต้แสงสลัวยิ่งกว่าที่นี่  ดนตรีก็แผ่วเบากว่า  อากาศยะเยียบเย็นจนหนาว  สองตาของเขาแลเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง สองมือทำงานด้วยความชำนิชำนาญ ลูกค้าคนไหนชอบเหล้าอ่อนแก่เพียงใดเขาจดจำได้แม่นยำ ราวกับจำสูตรคูณหรือบทอาขยานในวัยเด็กที่คุณครูสั่งให้ท่องจำ ทุกขณะของการทำงานดำเนินไปด้วยความนอบน้อมเอาอกเอาใจ พนักงานทุกคนรวมทั้งเขาจะคุกเข่าลงบนพรมหนานุ่มยามเข้าไปให้บริการ  เนื่องจากโซฟาของโซนาต้าคลับและโต๊ะกลางค่อนข้างเตี้ย  อีกทั้งทางเจ้าของโซนาต้าคลับก็หวังให้แขกทุกคนรู้สึกได้ถึงความเป็นราชาในหมู่หญิงงาม 

ใช่แล้ว ทุกคนได้รับการปรนเปรออย่างสูงสุด ไม่มีใครที่เข้ามาในโซนาต้าคลับแล้วอยากสูบบุหรี่จะได้จุดสูบเอง   เพราะเปลวไฟจากไฟแช็คจะล่องลอยมาถึงก่อนเสมอ   ไม่จากมือของบริกรหนุ่มก็จากมือของสาวงามที่นั่งเป็นเพื่อนคุย   แม้แต่นักร้องหญิงที่เคยเป็นถึงนางงามประจำจังหวัดต่าง ๆ ก็ต้องทำหน้าที่นี้ด้วยเช่นกัน  หากใครละเลยอาจถูกลงโทษได้  และอันที่จริงนอกจากจะเป็นหน้าที่แล้ว ทุกคนล้วนมุ่งหวังว่า   ก่อนที่ลูกค้าผู้ยิ่งใหญ่จะลุกจากไปคงมอบเงินให้เป็นรางวัลบ้าง  นั่นรวมถึงเขาด้วย   มันเป็นช่วงเวลาที่ผลงานศิลปะของเขายังขายไม่ออก   เขาต้องสละความเคารพตนและความหยิ่งทระนง   ยอมก้มหน้าทำงานบริการเพื่อแลกเงินเลี้ยงชีพ   คิดแล้วเขาก็อดยิ้มไม่ได้   เมื่อรู้สึกว่าชีวิตในช่วงเวลาดังกล่าวช่างเต็มไปด้วยสีสัน  อีกทั้งยังมีรสชาติอันยากจะลืมได้ลง  ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นรสขมก็ตาม

“ใจลอยเชียวนะเอ็ง คิดอะไรอยู่วะ”

“ไม่มีอะไรหรอกเพื่อน” เขายักไหล่   หน้าเริ่มตึงเพราะฤทธิ์เหล้า “แค่นึกถึงสมัยก่อนตอนที่ยังเที่ยววิ่งชงเหล้าให้แขกกระเป๋าหนักโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ หวังจะฟันทิปเป็นพิเศษ เหมือนนายนั่นแหละ  เช็ดรถแต่ละคันซะเงาวับ ไม่ใช่เพราะหวังว่าจะได้ทิปจากแขกงั้นหรือ”

มันหัวเราะลั่น  ใบหน้าแดงจนเป็นสีม่วงตามประสาคนผิวคล้ำ  เขาอยากรู้ว่าตั้งแต่เปิดร้านมามันดื่มไปมากน้อยแค่ไหนแล้วนะ จริงอยู่ว่าเสียงดนตรีคึกคักทำให้ดื่มเหล้าได้สนุกขึ้น แต่มีเพียงเขาเท่านั้นกระมังที่ดื่มเหล้าด้วยอารมณ์ประหลาด เป็นอารมณ์ที่แทบจะสะกดกั้นเอาไว้ไม่ไหวเลยทีเดียว

“แม่งเอ๊ย  แขกบางคนขับรถยุโรปซะเปล่า  ดันให้มาได้หกสลึง ข้างี้แทบจะขว้างทิ้ง  ทีนักร้องทิปทีเป็นร้อยเป็นพัน”

“นายมันคอยรับรถอยู่ข้างนอกนี่หว่า จะไปสู้พวกผู้หญิงที่แทบจะนั่งตักอยู่ข้างในได้ไง เราเองยังต้องคอยชงเหล้า เสิร์ฟชาร้อนเอย  ผ้าร้อนผ้าเย็นเอย  ทำแทบตายกว่าจะได้สักร้อยครึ่งร้อย”

“ซักวันเถอะวะ ข้าจะต้องมีค็อกเทลเลาจน์แบบโซนาต้าคลับให้ได้ จะเอาให้แม่งหรูหรากว่าด้วย”

มันทำงานให้เธอโดยไม่มีความสุขเลยอย่างนั้นหรือ  มันน่าจะมีความสุขที่สุดด้วยซ้ำ เขาคิด แต่ไม่แน่นัก เวลาผ่านไป ใจคนก็เปลี่ยนไปด้วย   มันอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับเธอแล้วก็ได้  ถึงตรงนี้เขาก็ต้องบอกตัวเองว่า  ในความเป็นจริงแล้วมันจะคิดอย่างไรก็ไม่ใช่ธุระของเขา   มันคงไม่ชกเขาเพราะเรื่องผู้หญิงอีกแล้วกระมัง  เขาเคยงุนงงเมื่อครั้งถูกชกเปรี้ยงเข้ากกหูโดยไม่ทันตั้งตัว  มารู้ภายหลังว่าที่แท้เป็นเพราะมันโกรธที่เห็นเขาทำให้เธอเสียใจ  สองสามวันหลังจากผ่านเรื่องเลวร้ายไปแล้ว

นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสม  เขารำพึง  เขาอยากถามถึงเรื่องราวของเธอเหลือเกิน แต่เมื่อทำไม่ได้ตามที่ใจคิดก็กล้ำกลืนเหล้าเข้าไปแทน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่กล้าพูดออกไปตามตรง หรือกลัวว่าจะได้ยินเรื่องราวที่แอบหวาดหวั่น  เรื่องราวที่จะทำให้ผิดหวังอย่างร้ายแรง จะเป็นอย่างไรนะ ถ้ามันบอกว่าเธอก็เป็นเมียอีกคนหนึ่งของมันอย่างลับ ๆ  หรืออาจเล่าให้ฟังว่า  ตอนนี้เธอกำลังอยู่กินกับชายแก่คนหนึ่ง  ซึ่งเป็นผู้ลงทุนเปิดร้านนี้ให้
 
“คนเรานี่บางครั้งก็ทำได้แค่ฝัน วาสนามันมีแค่นั้น” มันเอ่ยขึ้นพลางจ้องหน้าเขาเขม็ง “เอ็งว่าจริงไหม ฝันเท่าไหร่ก็ไม่เคยไปได้ถึงซักที  ได้แต่มองมันจากระยะไกลแล้วก็เศร้า  ยิ่งมีครอบครัวมีลูกเต้า พลังที่จะฝันก็ลดน้อยลง  เออ ข้ายังไม่ได้ถามเลยว่าเอ็งมีลูกกี่คนแล้ววะ สงสัยไม่แคล้วคว้าแหม่มมาเป็นเมีย  ลูกคงออกมาน่ารักดีพิลึก  เดี๋ยวนี้คนไทยนิยมชมชอบลูกครึ่งกันมาก”

รอยยิ้มอันฝืดฝืนคือคำตอบจากเขา 

“อย่าบอกนะว่าเอ็งยังโสด  เฮ้ย จริงรึ  ไอ้เวร อยู่มาได้ยังไงเอาป่านนี้  ถ้าเป็นข้านะ  ลงได้ไปอยู่ในดงสาว ๆ ผมทองทรงโตแบบนั้น ไม่เหลือแล้วว่ะ ไอ้ความโสดน่ะ”

“ผู้หญิงฝรั่งที่ผอมแบนก็เยอะ  แล้วอย่าพูดดีไปเลย  นายเองก็ยังไม่มีลูกเหมือนกันนี่หว่า  เราคงเข้าใจไม่ผิด  ที่บ้านนายกับจ๋าไม่เห็นมีรูปเด็กซักคน”

มันชะงักกึก  แก้วเหล้าในมือที่กำลังยกขึ้นดื่มค้างอยู่กลางอากาศ  สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนไป  กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็บิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว  เขาพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ  แววตาของมันราวกับคนมีความในใจ

“เดี๋ยวข้ามา เอ็งนั่งกินไปก่อน” มันพูดโดยไม่มองหน้า จากนั้นก็ลุกเดินหายไปทางหลังร้าน  ท่าทางของมันทำให้เขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเรื่องนั้น  ยังไม่มีใครลืมอีกหรือนี่  แล้วเธอเล่า  เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงขนาดนี้แล้วจะจดจำไปอีกทำไมกัน  จดจำเพื่อเป็นทุกข์อย่างไม่รู้จักจบสิ้นอย่างนั้นหรือ  เขาคิดด้วยความหม่นหมอง

เวลาผ่านไป เขานั่งเงียบอยู่เพียงลำพัง ทุกนาทีจมอยู่กับเครื่องดื่มด้วยจิตใจเลื่อนลอย  เขาอิจฉานักเที่ยวที่พากันลุกขึ้นเต้นรำข้างโต๊ะของตน ไม่มีใครยอมอยู่อย่างเงียบเหงา ต่างก็เสพเอาเสียงแห่งความร่าเริงอัดเข้าไปในร่างจนแทบจะโป่งพอง ส่วนเขายังคงชำเลืองมองหาเธออยู่เป็นระยะ ๆ

หนึ่งนาฬิกาของวันใหม่ นักร้องชายร่างเล็กไว้ผมยาวประกาศบนเวทีว่าหมดเวลาสำหรับการเล่นดนตรีแล้ว  นั่นหมายถึงอีกไม่นานเดอะวอร์จะหลับไหลเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา  ลูกค้าหลายโต๊ะทยอยเรียกพนักงานมาเก็บเงินแล้วลุกจากไป ขณะที่อีกหลายโต๊ะทำท่าเหมือนจะไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ เขาเพ่งมองขวดเหล้าด้วยดวงตาพร่าเลือน  มันพร่องจนใกล้จะหมดขวดแล้ว  เขาบอกเด็กสาวให้เก็บเงินค่าเหล้าและอาหาร เธอจึงเดินไปที่โต๊ะแคชเชียร์ สักพักหนึ่งก็กลับมาพร้อมด้วยใบแสดงรายการอาหารเครื่องดื่มที่สั่งและจำนวนเงินที่ต้องชำระบนถาดเงิน  เขาควักธนบัตรออกมาวาง  บอกเด็กสาวให้เก็บเงินทอนไว้  เธอยกมือไหว้อย่างอ่อนหวานน่ารักแล้วผสมเหล้าแก้วสุดท้ายให้แก่เขา

ระหว่างที่พนักงานในร้านรูดม่านบังตาตรงหน้าต่างกระจกลงมา  เขากำลังดื่มเหล้าแก้วสุดท้ายให้หมด  เขาอยากเดินทางกลับโรงแรมโดยไม่คิดจะรอพบมันเพื่อกล่าวคำอำลา  ถึงอย่างไรเขาก็ต้องกลับมาที่นี่อีก  อาจจะเป็นคืนพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้  ทันใดนั้นเอง  เขาก็เห็นมันเดินโซเซตรงเข้ามาวางธนบัตรจำนวนสามพันบาทลงบนโต๊ะ

“มื้อนี้...ข้าเลี้ยง” เสียงของมันฟังดูเมาหนักยิ่งกว่าเก่า

“ขอบใจ แต่ไม่จำเป็นหรอก เราต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายเลี้ยงนาย  ถึงไม่ร่ำรวย  แต่ก็น่าจะมีเงินเยอะกว่านาย” เขาทำเสียงให้ฟังดูว่าเป็นการพูดล้อเล่น

“เออ พ่อเศรษฐี  ไว้คราวหน้าแล้วกัน  เอ็งจะมาที่นี่อีกใช่ม้ั้ย  มาเหอะ  ข้ารู้ว่าเอ็งต้องกลับมาอีก  รับรองเอ็งได้เลี้ยงข้าแน่  แต่ต้องไปต่อที่อื่นด้วยนะเพื่อน  เอาแบบปูเสื่อเลย”

เขาพยักหน้า จนปัญญาจะกล่าวคำใดออกไป ได้แต่คว้าเงินบนโต๊ะยัดลงในกระเป๋ากางเกง  จากนั้นก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน  เขาตบไหล่มันก่อนเดินจากมา  ครั้นผ่านหน้าเด็กสาว  เขาก็ล้วงธนบัตรฉบับหนึ่งส่งให้ เธอพนมมือไหว้ด้วยนัยน์ตาหวานเยิ้ม พลางเอียงหน้าเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมปนเปกับกลิ่นควันบุหรี่

“ไปเที่ยวกันต่อไหมคะ  หนูอยากไปเที่ยวกับพี่จังเลย  มีที่เที่ยวสนุก ๆ เยอะแยะ  รับรองพี่ไม่ผิดหวังแน่นอน” เธอกระซิบข้างหู

เขาส่ายหน้า  ทอดถอนหายใจ  แล้วเดินออกจากเดอะวอร์ไปอย่างเงียบ ๆ


***

ฝนกำลังตกลงมาจากท้องฟ้าอันมืดมิดไม่ขาดสาย ท้องถนนในซอยว่างเปล่าปราศจากยวดยานใด ๆ  แสงสีเหลืองเรืองเรื่อจากโคมไฟส่องทางเดินด้านหน้าเดอะวอร์ดูสลัวซึมเซา  และแสงจากโคมไฟบนยอดเสาไกลออกไปก็ดูเหมือนไม่อาจทำลายความมืดของคืนนี้ได้เลย เธอยืนกอดอกนิ่งงันอยู่บริเวณด้านหลังประตูทางเข้าร้าน ซึ่งกรุกระจกใสไว้เป็นรูปตารางสี่เหลี่ยม  สายตาเหม่อมองออกไปอย่างเลื่อนลอย เธอเฝ้าสงสัยว่าฝนตกลงมาขณะที่เขากำลังเดินออกไป หรือว่าตกลงมาหลังจากที่เขาได้จากไปแล้วกันแน่

เดอะวอร์ยามนี้เหลือลูกค้านั่งอยู่เพียงแค่สองโต๊ะ  ทั้งหมดเป็นลูกค้าขาประจำ พวกเขานั่งคุยกันอย่างเงียบ ๆ เพื่อรอเวลาให้ฝนหยุด  บรรยากาศที่เคยสนุกสนานจางหายไปหมดแล้ว  คงเหลือทิ้งไว้ก็แต่เพียงความเหงาหงอย

เธอผละจากประตูแล้วเดินกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น  เป็นตัวเดียวกับที่เขาเคยนั่งนั่นเอง  โต๊ะได้รับการทำความสะอาดจน  ไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ให้สัมผัส  แต่หัวใจของเธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แม้จะเป็นเพียงความอบอุ่นเล็กน้อยที่วาบอยู่ในอกเท่านั้น  ช่างเป็นความสวยงามแสนสั้นเหลือเกิน  ไม่ต่างไปจากแสงของดอกไม้ไฟในคืนข้างแรมที่งดงามก่อนจางหาย  เพียงมาทักทายในช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วอำลาจากไปตลอดกาล

เวลาผ่านไปได้สักครู่หนึ่ง  เธอก็ร้องสั่งลูกน้องซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดสถานที่ ให้นำขวดบรั่นดีบนหิ้งหลังเคาน์เตอร์บาร์มาวางบนโต๊ะพร้อมแก้วเปล่า เธอรีบปฏิเสธเมื่อลูกน้องคนนั้นทำท่าจะรินเหล้าให้อย่างเอาใจ  เธอปรารถนาจะอยู่ตามลำพังเพื่อครุ่นคิดถึงเรื่องราวบางประการมากกว่า   บรั่นดีสีเข้มถูกรินลงแก้วเล็กน้อย  เธอเขย่าเบา ๆ พลางมองดูสีสันของมันด้วยความเคยชิน  จากนั้นก็ดื่มจนหมดเพื่อดับอารมณ์ปั่นป่วนอันเป็นส่วนผสมของความสุขและความทุกข์

“หลบหน้าไอ้โอมมันทำไม แล้วก็มานั่งหน้าเศร้า...”

เสียงพูดเหมือนคนเมาดังขึ้นจากทางด้านหลัง  เธอไม่ยอมหันไปมอง  อีกฝ่ายจึงก้าวมานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “ที่บัวให้ผมบอกไอ้โอมว่าบัวไม่อยู่  ผมไม่ต้องพูดเลยซักคำ รู้ไหมเพราะอะไร  เหตุผลก็คือมันไม่ได้ถามถึงบัวออกมาเลยสักแอะ”

คำกล่าวนี้ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้  เธอไม่ลืมหรอกว่าตอนนั้นเธอเดินลงมาจากชั้นบน และมองเห็นเขานั่งอยู่ตรงนี้ เธอชะงัก  ตกตะลึง ขณะเดียวกันก็แทบจะเพ้อคลั่งด้วยความดีใจล้นเหลือ ก่อนจะลนลานถอยกลับขึ้นไปข้างบนตามเดิม  ด้วยอาการคล้ายเสียสติไม่ต่างจากคนบ้า อีกใจหนึ่งเกิดอาการประหวั่นพรั่นพรึงราวกับกลัวในสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้  และทั้ง ๆ ที่อยากจะโผเข้าหาเขาด้วยความรู้สึกพลุ่งพล่าน  เธอกลับไม่ได้ทำตามแรงปรารถนา  โอ้ วันเวลาเอ๋ย แม้จะผ่านไปนานแค่ไหนเธอก็ยังจำเขาได้ดีเสมอ ไม่ต่างจากสุนัขที่จดจำเจ้าของของมันได้  ในสายตาของเธอ   เขาไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าใดนัก  เพียงแค่ดูบึกบึนขึ้น  เนื้อหนังก็มากขึ้น  ท่าทางร่าเริงแบบเด็กหนุ่มไม่มีให้เห็นอีกแล้ว  เขาแลดูเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดอ่านยิ่งกว่าเดิม  เหมือนจะเคร่งขรึมขึ้นกว่าแต่ก่อน  แต่ท่าทางที่เคยสดใสเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานก็เหลือเพียงบุคลิกของคนเศร้า เธอประหลาดใจว่าเขาเศร้าด้วยเรื่องอะไรกันนะ จะเศร้าไปกว่าความรู้สึกของเธอหรือไม่  เขาไม่ได้ถามถึงข่าวคราวของเธอเลยงั้นหรือ  ไม่น่าจะเป็นไปได้  หรือว่าเรื่องราวในอดีตเป็นเพียงแค่ความประทับใจของเธอเพียงฝ่ายเดียว  อาจเป็นเช่นนั้นก็ได้  เธอคิด  เขาไม่เคยบอกความในใจแก่เธอแม้สักครั้งเดียว แต่ก่อนนั้นดวงตาสดใสอันเต็มไปด้วยความหวังของเขาก็เคยฟ้องไม่ใช่หรือ ว่าเขารู้สึกเช่นไร
 
ภาพของเขา ชายผู้เดินทางกลับมาจากอดีตสิบแปดปี กำลังหมุนวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของเธอไม่ขาดสาย  เป็นเช่นลมหายใจที่ถ่ายถอนเข้าออกตลอดเวลา เธอเริ่มว้าวุ่นใจขึ้นมาอีก  อยากรู้เหลือเกินว่าเขามาเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไร และมาที่นี่ด้วยเหตุผลใด ทำไมเขาถึงได้รู้จักเดอะวอร์ หรือว่านี่คือเรื่องบังเอิญเท่านั้นนั้น  คงน่าเศร้าอย่างร้ายกาจ  หากเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นแค่ความบังเอิญ  แล้วตอนนี้เขาก็จากเธอไปอีกแล้ว  เธอปรารถนาให้เขากลับมาอีก แต่เธอจะติดต่อเขาได้อย่างไร 

“พี่โอมเพิ่งกลับมาเมืองไทยใช่ไหม”

เขาพยักหน้า  ขณะเดียวกันก็จ้องเธอเขม็ง

“มันเพิ่งมาได้ไม่กี่วัน เห็นว่ามาทำธุระอะไรซักอย่างนี่แหละ บัวคงสงสัยซีนะ ว่าไอ้โอมมันมาที่นี่ได้ไง  ก็มันแอบดอดไปหาจ๋าที่บ้านเมื่อวานนี้น่ะสิ  คิดแล้วน่าโมโห  เปล่า...ไม่ได้โมโหมันหรอก  ผมโมโหจ๋าต่างหาก  ไม่เห็นบอกอะไรสักคำ  อย่ามองผมยังงั้น  ผมไม่ได้คิดว่ามันกับจ๋าจะถ่านไฟเก่าคุขึ้นมาหรอกนะ  เรื่องนี้ใครก็รู้  บัวรู้  ผมรู้ ว่าเป็นเพราะอะไร”

คำพูดของเขาเต็มไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันแปลก ๆ  เธอหวนคิดถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่เคยเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง  นี่คืออีกครั้งหนึ่งที่เธอคิดถึงความใฝ่ฝันในอดีต เธอปรารถนาจะได้รับโอกาสเช่นนั้นบ้าง ทว่านั่นเป็นเพียงความปรารถนาที่ก้าวไปไม่ถึง  ราวกับการไขว่คว้าเงาในน้ำมาครอบครอง เรื่องราวของเขากับเธอเป็นดั่งความฝันในคืนป่วยไข้  ทุกสิ่งทุกอย่างในฝันช่างดูสมจริงจนน่ากลัว  ครั้นแล้วก็หายวับไปเมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้น

เธอเอื้อมมือหมายจะคว้าขวดบรั่นดีมารินอีก  แต่เขาแย่งไปถือไว้เสียก่อนและรินให้เธอแต่เพียงเล็กน้อย  จากนั้นถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสดชื่นนุ่มนวลเหมือนสร่างเมาแล้วว่า “ให้ผมนั่งดื่มเป็นเพื่อนด้วยคนได้ไหม”

“ไม่รีบกลับบ้านล่ะ เดี๋ยวจ๋าจะเป็นห่วง”

“นั่งเล่นที่นี่ก่อนดีกว่า  ผมขี้เกียจขับรถตอนฝนตก ฝนระยำอะไรก็ไม่รู้ตกหนักชะมัด”

“ตามใจ  แต่ทีหลังอย่าด่าฝนฟ้าอีก  มันไม่ดี”

เธอเห็นเขาลุกไปหยิบแก้วเปล่ามาใบหนึ่ง แล้วรินบรั่นดีให้ตัวเอง เขาคลึงแก้วไปมาเล็กน้อยก่อนจะดื่มเสียเกือบครึ่ง  เธอไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่  ไม่อยากรับรู้ด้วย  จึงยกแก้วเหล้าขึ้นจิบช้า ๆ  และปล่อยตัวตนจมสู่ห้วงความคิด...

ถ้าเขาคนนั้นเป็นอย่างนี้ก็คงวิเศษที่สุด ตลอดระยะเวลาสิบแปดปี  เขาแทบจะไม่เคยห่างหายไปจากชีวิตของเธอเลย  แม้เขารู้ว่าเธอใช้ชีวิตอย่างน่าละอายเพียงใด  เขามักแสวงหาจังหวะเข้ามาช่วยเหลือและคอยแก้ปัญหาให้เธอเสมอ ราวกับว่าเขาเฝ้ามองชีวิตของเธอไว้ตลอดเวลา  เขาช่วยแบ่งเบาภาระไปได้มากทีเดียว  แน่นอน  เธอไม่โง่พอที่จะไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับเธอ  ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการแม้แต่น้อย  เขาเหมาะที่จะเป็นเพื่อนมากกว่า  มันไม่อาจเปลี่ยนแปลง นี่คงทำให้เขาเจ็บปวดบ้างที่เธอไม่เคยมีใจให้  ซึ่งแตกต่างไปจากความเจ็บปวดของเธอ  เมื่อคิดถึงเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกซีกโลกหนึ่ง  ผู้ซึ่งไม่เคยส่งข่าวคราวกลับมาเพื่อทำให้เธอมีความหวังแม้สักครั้งเดียว

ภาพอดีตสมัยทำงานอยู่ในโซนาต้าคลับแจ่มชัดขึ้นมาอีกครั้งในห้วงความคิด  เป็นภาพเดิม ๆ เหมือนทุกโมงยามที่เธอเผลอใจนึกถึง  เธอมองเห็นแววตาอันขมขื่นของเขายามที่ลอบมองเธอนั่งคุยกับลูกค้า  แววตาที่เคยอ่อนโยนนั้นแสดงถึงความรวดร้าวเมื่อเธอต้องออกไปข้างนอกกับชายแปลกหน้า เธอมักจะหลบสายตาที่มองมาด้วยความรู้สึกนี้เสมอ  อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาเจ็บปวด  เธอก็รู้สึกได้ถึงความน่าละอายและความต่ำต้อยของตัวเอง  แต่ในเวลานั้นเธอมีทางเลือกด้วยหรือ  ถ้าเพียงแต่เขาจะยอมเป็นทางให้เธอเลือกเดิน  เหตุการณ์วันนี้ก็อาจเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

หลายครั้งเธอได้แต่สงสัยว่าทำไมเขาถึงไม่เคยบอกให้เธอเลิกทำงาน แล้วตั้งใจเรียนให้จบ จากนั้นก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ นั่นอาจเป็นด้วยเขาไม่มีความกล้าพอ เขาเป็นเพียงศิลปินต่ำต้อยคนหนึ่งที่ไม่อาจแบกรับภาระของเธอไว้บนบ่าได้  ลำพังตัวเองก็ต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดอย่างหนัก ไม่มีใครสามารถรับแอกของอีกคนหนึ่งมาแบกแทน  เขากับเธอก็เช่นเดียวกับทุกคนที่มีเส้นทางเดินของตัวเอง ต่างเดินไปตามถนนชีวิตจนกว่าจะถึงจุดสิ้นสุด   อาจไม่เหมือนกันตรงที่เธอไม่เคยล่วงรู้ถึงจุดหมายปลายทางบนถนนของเธอเลย  ขณะที่สำหรับเขาแล้ว การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อเก็บเกี่ยวความสำเร็จในโลกศิลปะมาเป็นของตน หาใช่สิ่งอื่นใดไม่ เธอเชื่อว่านี่ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำ  ทว่าใจหนึ่งก็ไม่อยากรับว่านี่คือความเป็นจริง  บางทีเขาอาจรังเกียจผู้หญิงอย่างเธอก็เป็นได้ ต่อให้เขาเป็นมนุษย์ผู้มีอุดมคติสูงส่งและมีหัวใจอ่อนโยนแค่ไหนก็ตาม  ใช่สินะ นักศึกษาขายตัวผู้มีประวัติสำส่อนฟอนเฟะ สมควรมีคุณค่าในสายตาของผู้ชายดี ๆ สักคนอย่างนั้นหรือ   คิดแล้วเธอก็อยากยิ้มเยาะหยันให้แก่อดีต  อดีตที่มีแต่เรื่องน่าเศร้าชวนให้อับอายและไม่อาจกลับไปแก้ไขได้ดั่งใจปรารถนา

เธอเลิกม่านบังตาขึ้นสูงเพื่อมองผ่านบานกระจกหน้าต่างออกไปสู่โลกภายนอก  ฝนซาเม็ดมากแล้ว  ถึงกระนั้นก็ยังทำให้ใครก็ตามที่เดินอยู่ข้างนอกเปียกชื้นได้  พื้นถนนยางมะตอยเปียกน้ำแลเห็นเป็นเงาสะท้อนแสงไฟระยิบระยับยามต้องละอองฝน  และหยดน้ำจากชายคาหน้าร้านก็ร่วงหล่นลงกระทบพื้นทางเท้าเป็นจังหวะ  นั่นทำให้เธอรู้สึกเศร้าใจมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ครั้งหนึ่งเธอเคยมีโอกาสนั่งดูสายฝนที่ไหลรินลงมาจากชายคาร่วมกับเขา  เป็นวันที่หัวใจของเด็กสาวคนหนึ่งได้รับทั้งความหนาวสั่นและความอบอุ่นไปพร้อม ๆ กัน มันเกิดขึ้นหลังจากที่เธอเข้าไปทำงานที่โซนาต้าคลับเป็นคืนแรก แล้วรู้ตัวว่าจะต้องออกไปค้างคืนกับลูกค้าคนหนึ่ง  แม้ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาเป็นอย่างดีแล้ว  ครั้นถึงเวลาเข้าจริงเธอก็กระอักกระอ่วนรวนเร จนต้องย้อมใจด้วยเหล้าฝรั่งแก้วแล้วแก้วเล่า  ทั้ง ๆ ที่ในตอนนั้นยังดื่มไม่เป็นด้วยซ้ำ  เธอหวังว่าความเมามายอาจจะช่วยต่อสู้กับอุปสรรคในโลกนี้ได้ทุกประการ เธอนั่งดื่มเหล้าของลูกค้าในสภาพหญิงขี้เมา ขณะที่ลูกค้าคนนั้นก็เอาแต่ยิ้มบ้างหัวเราะบ้างเหมือนสนุกไปกับการกระทำของเธอ  สุดท้ายเธอครองสติไม่อยู่และอาเจียนออกมาหลายครั้ง ก่อนจะหลับพับไปบนโซฟา  ทิ้งเรื่องราววุ่นวายไว้ให้คนอื่นจัดการ   มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ในห้องพักตอนรุ่งสาง   เวลานั้นเธอจำได้ดีถึงสายลมเย็นชื้นที่พัดผ่านเข้ามาจากทางระเบียงด้านหลังห้องพัก  เขากำลังนั่งหันหลังให้เธอพร้อมกับมองสายฝนด้วยท่วงท่าน่าประทับใจ

มีคนเล่าให้ฟังในภายหลังว่าคืนนั้นลูกค้าของเธอใจเย็นพอที่จะเลื่อนเวลาออกไปจนกว่าเธอจะพร้อม แม้ได้จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วก็ตาม  คงเป็นเพราะยังเสียดายความสวยความสาวอันเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของเธอกระมัง  ขณะที่ผู้จัดการเมื่อรู้ว่าเขาพักอยู่ตึกเดียวกันกับเธอก็สั่งให้พามาส่ง   เขาจึงหอบหิ้วเธอกลับมาในสภาพทุลักทุเลด้วยรถแท็กซี่

ช่างน่าอายเมื่อย้อนคิดถึงเรื่องราวแต่หนหลัง แต่เธอก็มีความสุข  จะไม่ให้มีความสุขได้อย่างไรกันเล่า  คืนนั้นไม่ใช่หรือที่เขาได้เช็ดหน้าตาและแขนขาให้เธออย่างไม่รังเกียจ  มิหนำซ้ำยังเฝ้าดูแลโดยไม่กลับไปที่ห้องของเขา  เป็นด้วยเหตุผลใดกันเล่า  เขาจึงอยู่เป็นเพื่อนเธอจนรุ่งเช้า  เพื่อรอให้เธอตื่นขึ้นมาเฝ้ามองสายน้ำไหลรินลงมาจากกันสาดร่วมกันกับเขาแค่นั้นหรือ   มันเป็นเช่นนั้นใช่ไหม  แล้วเหตุผลมีเพียงเท่านี้เองจริง ๆ หรือ เธอถามตัวเองโดยไม่อาจรู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่  ตลอดระยะเวลาสิบแปดปีมานี้

ในวันแห่งความทรงจำดังกล่าว  เขาได้ยื่นแก้วน้ำให้พร้อมกับยาแก้ปวดศีรษะ ยามนั้นฝนยังคงตกลงมาราวกับจะไม่มีวันจบสิ้น  เขาชี้ชวนให้เธอมองเห็นความงามของสายน้ำที่ไหลรินลงมาเป็นสายจากกันสาด เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงสนิทสนมเหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อน  นั่นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้รู้จักกันหรือเคยเห็นหน้ากัน  เธอยิ้มเมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอเคยเห็นเขาที่อพาร์ทเมนท์มาแล้วหลายครั้ง  ก่อนหน้าที่จะไปทำงานที่โซนาต้าคลับเสียอีก  เพียงแต่ไม่เคยสนทนากัน  หน้าตาและบุคลิกของเขาทำให้เธอจำได้ดี  ด้วยเหตุนี้เมื่อเข้าไปทำงานและรู้ว่าเขาก็ทำงานอยู่ที่นั่นด้วย จึงสร้างความอับอายให้แก่เธอจนอยากถอนตัว สิ่งใดกันเล่าที่ดลใจให้เธอปรารถนาจะเป็นนักศึกษาผู้สะอาดสะอ้านในสายตาของเขา  แต่แล้วจู่ ๆ ก็กลายเป็นเครื่องรองรับอารมณ์ของชายแปลกหน้าที่มีเงินมากพอจะจ่ายค่าตัวของเธอ  คงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ชายทั่วไปหากจะต้องทำใจยอมรับ  ด้วยเหตุนี้ใช่ไหมจึงทำให้เขาต้องจากเธอไป   แต่ในที่สุดเขาก็กลับมาหาเธอ  เขากลับมาแล้วจริง ๆ  เธอครุ่นคิดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ลืมไปเสียสนิทว่ายังมีเขาอีกคนหนึ่งนั่งเป็นเพื่อนอยู่อย่างภักดี 

เวลานี้เขากำลังนั่งตาปรือเซื่องซึม   ทว่ายังคงจิบเหล้าอยู่เป็นระยะ  วูบหนึ่งของความรู้สึกที่แล่นขึ้นมาจากหัวใจโดยตรง  เธอรู้สึกสงสารเขา พร้อมกับข้องใจว่าเธอเคยรู้สึกกับเขามากกว่าความเป็นเพื่อนหรือไม่  แต่ไม่ใช่เธอเองหรอกหรือที่เคยบอกเขาว่ามิตรภาพระหว่างเพื่อนนั้นมีค่ามากเหลือเกิน บางทีนี่อาจจะเป็นเพียงแค่คำปลอบใจให้เขารู้สึกดีขึ้น  เธอครุ่นคิดและเมามายไปกับความรู้สึกภายในใจ   มันพลุ่งพล่านอยู่ในท่าทีอันสงบ  ใจหนึ่งก็อยากจะยินดีที่เธอยังมีเขาเฝ้าดูแลไม่เปลี่ยนแปลง  ผู้หญิงที่เรียกได้ว่าผ่านผู้ชายมามากจนน่าอดสูใจ  เธอไม่อาจแก้ตัวด้วยเหตุผลโง่ ๆ ว่าทำลงไปเพื่อประชดผู้ให้กำเนิด  หรือประชดชายผู้ซึ่งเธอเคยหลงคิดว่าสิ่งที่ให้เขาเป็นคนแรกคือความรัก  โดยไม่สนใจว่าเขาจะเป็นอาจารย์ของเธอและมีครอบครัวอยู่แล้ว   เอาเถอะ  แม้ในที่สุดเธอจะสามารถพัฒนาตัวเองจนหลุดพ้นออกมาจากปลักโคลนอันโสมมนั้นได้   อย่างไรก็ตาม  ความรู้สึกในใจยังคงแปดเปื้อน  เธอไม่อาจลบล้างอดีตให้หายไปได้อย่างแท้จริง   จากชีวิตที่ต้องตื่นขึ้นมาเห็นชายแปลกหน้าแทบทุกเช้า  ครั้นเปลี่ยนจากชายแปลกหน้ามาเป็นสามีของชาวบ้านในฐานะเมียเก็บก็ไม่นับว่าสูงส่งขึ้น   เพราะเมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง  อาจจะเป็นหกเดือน หนึ่งปี  หรือสองปี   ทันทีที่ชายคนนั้นเบื่อหน่าย  เธอก็จะกลายเป็นนางบำเรอของชายคนใหม่ที่อ้าแขนต้อนรับ ไม่ต่างจากสมบัติผลัดกันชม ดุจเดียวกับทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ในโลกนี้ จริงสินะ ความสวยงามของเธอเปรียบเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่งในสายตาของผู้ชาย  พวกเขาต้องการครอบครองทรัพย์สินประเภทนี้มาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว  และไม่ใช่เพราะเหตุนี้หรอกหรือ จึงทำให้เธอมีทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของตัวเองไม่น้อยหน้าใคร   ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังงาม รถสปอร์ตหรูหรา รวมถึงกิจการที่เลี้ยงตัวได้อย่างเดอะวอร์  น่าเสียดายว่าสิ่งที่ขาดไป...หายไป...คือความสุขที่ใจปรารถนา ทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้น เธอถามกับตัวเอง  เมื่อยอมรับว่าแทบจะไม่เคยรู้จักความสุขมาเกือบชั่วชีวิต  โลกนี้ช่างเป็นดินแดนแห่งความทุกข์โดยแท้  เธอทอดถอนใจ  สุดท้ายก็ดื่มบรั่นดีจนหมดแก้ว  แล้วประคองร่างลุกขึ้นยืนโดยพยายามไม่ให้เสียการทรงตัว
 
“จะกลับบ้านหรือบัว  ทำไมทิ้งกันอีกแล้ว” ศีรษะของเขาส่ายโงนเงนขณะพูด  ฟังไม่ออกว่าพูดเล่นหรือพูดจริง

เธอพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร แต่เมื่อจะก้าวเดินออกไปก็หันมามองเขาอีกครั้ง  เธอเม้มริมฝีปากแน่นก่อนตัดสินใจถามไปว่า “เอ้อ  พลรู้ไหม  พี่โอม...พี่โอมเขามีครอบครัวแล้วหรือยัง”

มีเสียงหัวเราะอย่างเยาะ ๆ หลุดออกมาจากปากของเขา  เธอรู้สึกอับอายอย่างบอกไม่ถูก

“ทำไมไม่ถามมันเอาเอง  กลัวอะไรเรอะ  เอาเหอะ ผมจะบอกให้เอาบุญ  มันยังโสด...โสดไปทั้งตัว  พอใจหรือยังล่ะ” พูดจบก็หัวเราะร่วนพร้อมกับจ้องมองเธอด้วยสายตาวาววาม

จริงหรือที่เขายังไม่ยอมมีใครอีก เธอรู้สึกแช่มชื่นขึ้น ริมฝีปากเผยอยิ้มเล็กน้อย แต่ชั่วประเดี๋ยวเดียวความเศร้าใจก็เข้าครอบงำเธอ  จะมีประโยชน์อะไรเล่า  ไม่ว่าเขาจะมีภรรยา  มีลูกน่ารัก  หรือว่ายังใช้ชีวิตตามลำพัง  เธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาต้องการ

เธอเปิดประตูก้าวออกไปนอกร้าน  ฝนเริ่มตกปรอย ๆ ลงมาอีกแล้ว

“คืนนี้น่าจะเป็นคืนที่งดงามยิ่งกว่าคืนไหน ๆ ถ้าเพียงแต่...” เธอพึมพำขณะหยุดมองดูสายฝน วินาทีต่อมาก็สาวเท้าตรงไปที่โลตัสสีดำสองประตูซึ่งจอดชิดขอบทางเท้าห่างจากเดอะวอร์เพียงไม่กี่เมตร ขณะกำลังจะเปิดประตู พลันเธอก็มองเห็นภาพสะท้อนบนกระจกรถที่มีหยดฝนเกาะอยู่พราวพราย  และได้เห็นว่าเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม  พลางมองมาที่เธอด้วยสายตาอันคุ้นเคย  ยามนั้นเธอคิดว่าเงาสะท้อนบนกระจกรถทำให้มองเห็นหยาดฝนร่วงหล่นลงมาได้ชัดเจนขึ้น  อีกทั้งรู้สึกราวกับว่าในดวงตาของเขาก็มีสายฝนโปรยปรายอยู่เช่นเดียวกัน

“นั่นคงไม่ต่างไปจากดวงตาของฉัน” เธอพึมพำออกมา ก่อนจะเปิดประตูก้าวเข้าไปนั่งในรถ  แล้วขับไปบนเส้นทางว่างเปล่าอันมืดครึ้มด้วยเงาสลัวของค่ำคืน


***

สระว่ายน้ำของโรงแรมเงียบเหงาเช่นทุกวัน โดยเฉพาะในเวลาโพล้เพล้เช่นนี้   ไม่มีใครเข้ามาใช้บริการนอกจากจากเขา  แต่เขาก็ชอบที่ได้อยู่ตามลำพัง   เขาตีกรรเชียงไปอย่างเชื่องช้า  น้ำในสระเริ่มเย็นเมื่อความมืดโรยตัวลงมา   หมู่เมฆลอยต่ำสะท้อนแสงจากตัวเมืองเป็นสีเทาอมส้มสว่างเรืองรอง  มันลอยเอื่อย ๆ ไปตามสายลมค่ำซึ่งพัดโชยมาอ่อน ๆ  บรรยากาศเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจ  การว่ายน้ำหลังจากนอนหลับมาทั้งวันทำให้สดชื่นขึ้นมาก   อาการปวดศีรษะเนื่องจากดื่มเหล้าอย่างหนักเมื่อคืนเกือบจะหายไปหมดแล้ว หลังออกจากเดอะวอร์มาด้วยความผิดหวังและตรงกลับโรงแรมทันที ภายในห้องพักกับความว่างเปล่า สำหรับเขาแล้วไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้ทำอีกนอกจากดื่มวิสกี้รสเข้ม   ดื่มจนเมามายเพื่อครุ่นคิดอยู่ตามลำพัง จนกระทั่งหลับพับไปเมื่อรุ่งสาง    ตอนที่เขาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงปลุกจากโทรศัพท์เป็นเวลาสายมากแล้ว  ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงสัญญาที่ให้ไว้กับเธอขึ้นมาได้

ไม่มีน้ำเสียงแสดงความผิดหวังตอนที่เธอรับรู้ว่าเขาไม่สามารถไปนครปฐมกับเธอได้ตามคำสัญญา เขารู้สึกผิดและละอายแก่ใจ แต่จะทำอย่างไรได้เล่า เขาทั้งมึนงง ทั้งอ่อนเพลียเกินกว่าจะลุกไปไหน   คงมีเพียงการนอนหลับอันยาวนานเท่านั้นที่จะช่วยผ่อนคลายให้หายจากพิษเหล้า

ตอนเย็นหลังตื่นนอนแล้ว  เขาพยายามไม่หาคำตอบว่าทำไมถึงต้องดื่มเหล้ามากมายขนาดนั้น  เขาไม่อยากล่วงรู้เข้าไปถึงภายในจิตใจ มันอาจเป็นด้วยไม่ต้องการยอมรับถึงความปรารถนาที่จะได้พบเธออีกสักครั้ง  ทั้งที่นั่นเป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจเมื่อมีโอกาสเดินทางกลับบ้านเกิด เขาพยายามให้เหตุผลแก่ตัวเองว่านี่ไม่ใช่ความจริงแท้ แต่สุดท้ายก็ตระหนักว่าเขาต้องการพบเธอเหลือเกิน ใช่ เขาอยากพบเธอยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด  น่าจะมีสักครั้งที่คนสองคนจะได้มาพบกัน แต่พบเพื่ออะไรล่ะ  เพื่อจะจากกันด้วยความเจ็บปวดเหมือนในอดีตอย่างนั้นใช่ไหม  แล้วการยอมรับความเป็นจริงก็ทำให้เขาต้องตั้งคำถามต่อไปว่า  คืนนี้สมควรไปที่เดอะวอร์อีกหรือไม่   ไปทั้ง ๆ ที่มีความหวังอยู่น้อยนิด  อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่ามีเวลาเหลือเฟือสำหรับการนั่งรอคอยจนกว่าจะได้พบเธอ  เธอจะทำสีหน้าอย่างไรนะหากได้เห็นเขา  แล้วเธอจะจำเขาได้หรือไม่  ภาพพิมพ์ไม้ซึ่งเป็นที่ระลึกแห่งมิตรภาพยังคงวางอยู่ในห้องพัก   เขาต้องการมอบให้เธอด้วยมือตัวเอง   แม้เมื่อได้รับไปแล้วจะถูกทิ้งขว้างก็ตาม  และอย่างทันทีทันใดเขาก็ต้องการรู้ขึ้นมาอีกว่า  ภาพซึ่งเขาเคยบรรจงวาดไว้โดยมีเธอเป็นนางแบบนั้น ปัจจุบันมีสภาพอย่างไร  มันได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี  หรือว่าถูกทอดทิ้งให้ผุพังไปตามกาลเวลาอย่างไร้เยื่อใย

ภาพเปลือยของเธอที่เขาเคยวาดไว้หลายต่อหลายภาพ   ล้วนเสนอแต่ด้านที่งดงาม  มีอยู่ภาพหนึ่งเธอได้ขอไว้เป็นที่ระลึก  และด้วยคุณสมบัติของสีน้ำมันบนผืนผ้าใบ  ถ้าเธอดูแลมันบ้าง  ในระยะเวลาไม่ถึงยี่สิบปี ผืนภาพย่อมดูสดใสราวกับเพิ่งระบายสีเสร็จใหม่ ๆ  จริงสินะ ตราบใดที่ภาพนั้นยังอยู่  นั่นย่อมแสดงให้เห็นถึงความจริงบางอย่าง  เป็นความจริงที่จะทำให้เขาอุ่นใจ  แต่เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็นานเหลือเกิน  นานจนยากจะเอามาเป็นสาระได้ เขาคิดอย่างเศร้าสร้อย รู้สึกเหนื่อยจนต้องขึ้นจากสระ เขาเอนตัวนั่งพักบนเก้าอี้สนามสีขาวสะอาด  นาน ๆ ครั้งจึงจะยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นดื่มเล็กน้อย  สักครู่หนึ่งก็คว้าเสื้อคลุมมาสวมแล้วเดินก้มหน้ากลับห้องพัก เป็นเวลาเดียวกันกับที่พนักงานรูมเซอร์วิสนำอาหารมาส่งตามที่เขาได้โทรศัพท์สั่งไว้ล่วงหน้า  นี่คืออาหารมื้อค่ำกับการอยู่ตามลำพังอีกครั้งหนึ่ง แค่ข้าวผัดธรรมดาและเครื่องดื่มเย็น ๆ ก็ถือได้ว่าเพียงพอแล้วสำหรับเขา

ตักอาหารเข้าปากไปได้เพียงไม่กี่คำเขาก็รวบช้อนส้อม รีบลุกไปเปิดตู้เสื้อผ้าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้   เขามองดูเสื้อตัวใหม่ที่ผ่านการซักรีดจากแผนกลอนดรี้ของโรงแรมด้วยความพึงพอใจ  คิดจะสวมมันออกไปข้างนอกในคืนนี้

แน่ใจงั้นหรือ  เขาถามตัวเอง  ใช่  แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะไปที่นั่นให้ได้ในคืนนี้    เขาจะทำสีหน้าอย่างไรดี  จะทำใจให้สงบได้หรือเปล่า  หากต้องพบกับความผิดหวังซ้ำสอง   แล้วมันผู้มีท่าทางประหลาดชอบกลเล่า  มันจะสบายใจไหมหากได้พบเขาอีก  เขาพอเข้าใจได้เป็นเลา ๆ ถึงการหลบหน้าหายไปของมัน  แต่หวังว่าคงไม่ใช่เพราะหึงหวง  ยังจะมีใครมานั่งจดจำความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาได้อีกหรือ   ในเมื่อมันกลายเป็นอดีตไปนานแล้ว   แต่น่าแปลกเหลือเกิน  เขาเองที่เป็นฝ่ายจดจำได้ดีในเวลานี้

เขารู้สึกสะเทือนใจอย่างลึกซึ้ง   เมื่อสำนึกได้ว่าหากยอมให้เด็กโชคร้ายคนนั้นเกิดขึ้นมาดูโลก    ไม่ว่ามันจะเป็นโลกที่สวยงามหรือทนทุกข์ก็ตาม  ป่านนี้ชีวิตน้อย ๆ ก็คงเติบโตกลายเป็นหนุ่มสาวเต็มตัว หน้าตาจะเหมือนพ่อหรือแม่นะ ทำไมเขาถึงได้ทำเรื่องร้ายกาจแบบนั้นได้ลงคอ   ช่างเลือดเย็นเหลือเกิน   ไม่ผิดหรอกถ้าเธอจะเกลียดผู้ชายอย่างเขาไปจนวันตาย   แต่คืนนั้นที่บ้านของเธอ  เธอช่างปั้นหน้าได้ดีเหลือเกิน  อาจเป็นไปได้ว่าเธอไม่ใส่ใจกับอดีตอันเจ็บปวดนี้อีกแล้ว   อาจเป็นไปได้ว่าเธอลืมเรื่องเลวร้ายแต่หนหลังจนหมดสิ้น เหมือนกับที่ใครต่อใครพากันลืมอดีต ทอดทิ้งมันไว้เบื้องหลัง  เมื่อเห็นว่ามันไม่มีคุณค่าพอแก่การจดจำ

“นี่เรากำลังหาเหตุผลให้แก่ตัวเองอีกแล้วใช่ไหม ช่างน่าสมเพชสิ้นดี” เขาสรุปและหัวเราะอย่างเย้ยหยันให้กับบางสิ่งบางอย่างในชีวิตของตน

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจปลดเสื้อแขนยาวตัวใหม่จากไม้แขวนมาสวมคู่กับกางกางยีนสีน้ำเงินซีด   จากนั้นนั่งลงที่ขอบเตียงเพื่อสวมถุงเท้ารองเท้า  แต่นาทีต่อมาก็ล้มตัวลงบนเตียงนอนอย่างเกียจคร้าน  สายตาเหม่อมองเพดานห้อง   แวบหนึ่งเขาคิดถึงใบหน้าของเธอและน้ำเสียงหวานใส หวังว่าเธอคงไม่โกรธที่เขาไปเป็นเพื่อนเธอไม่ได้  เธอมีจิตใจอ่อนโยนเสียจนไม่น่าจะขุ่นเคืองใครหรือสิ่งใดได้เลย   อย่างมากก็อาจรู้สึกผิดหวังบ้างเท่านั้น

แล้วอาจารย์เล่า  ท่านจะรู้สึกเช่นไร  หากแม้นได้รับรู้เรื่องนี้  ท่านจะพอใจหรือไม่พอใจ  บางทีท่านอาจดีใจถ้าเขาจะใช้ชีวิตอยู่ห่างจากเธอ ใช่ เขาไม่ควรใกล้ชิดเธอมากเกินไป สาวสวยเช่นนี้  เพียบพร้อมเช่นนี้  ทางที่ดีน่าจะอยู่ห่างจากผู้ชายอย่างเขาเอาไว้ให้มาก  และเมื่อคิดไปอีกแง่หนึ่งซึ่งดูเป็นเหตุเป็นผลกว่า  เขาก็ออกจะเอนเอียงไปทางเชื่อว่า ตัวเองคิดมากเกินไปด้วยความหลงตน คิดดูสิ  เธอจะมาสนใจอะไรกับคนแบบเขา  ก็แค่ผู้ชายอายุมากคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเป็นโล้เป็นพาย ไม่มีสิ่งใดเชิดหน้าชูตาเธอได้ เท่าที่เธอแสดงออกมาก็ด้วยมารยาทที่ได้รับการอบรมสมเป็นกุลสตรี  ความจริงบอกว่าเขามันแก่เกินไปสำหรับคนวัยขนาดเธอ 

“แต่จะเป็นอะไรไปล่ะ  แปลกยังงั้นหรือ  ถ้าเราจะ...” เขาพึมพำออกมา

ภาพของเธอในอิริยาบถต่าง ๆ ผุดพรายขึ้นในห้วงสำนึกราวกับตกอยู่ในความฝัน  นี่คือสายธารแห่งความทรงจำอันงดงามซึ่งพัดพาเอาความอ่อนหวานมาสัมผัสความรู้สึกของมนุษย์คนหนึ่ง  แต่เพื่ออะไรเล่า  ถ้าไม่ใช่เพื่อจะผ่านหัวใจของเขาไปในที่สุดหรอกหรือ

ในห้วงอารมณ์ลึกล้ำ  เขาแลเห็นริมฝีปากแดงของเธอกำลังพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา  แม้นใครได้รับฟังก็คงเป็นสุข ไม่ต่างจากการได้ชื่นชมบทเพลงอันไพเราะที่คอยขับกล่อมอยู่ในความทรงจำ  เขาเริ่มเกิดความต้องการจะสนทนากับเธอ   อีกทั้งใคร่รู้ว่าขณะนี้เธอเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ แล้วหรือยัง  เขาควรโทรศัพท์ไปหาเธอดีไหม  นั่นจะเป็นการรบกวนหรือเปล่า  บางทีเธออาจเหนื่อยล้าและต้องการพักผ่อน  วันนี้กับการนำอัฐิของอาจารย์ไปหาสถานที่พักสงบชั่วนิรันดร์อาจทำให้เธออ่อนแอ  เป็นไปได้ว่ายามนี้เธอกำลังโศกเศร้า ซึ่งเขาควรเข้าใจ   และยอมละเลยต่อความต้องการที่เกิดขึ้น  หากเป็นเขาเองก็คงอ่อนแอ   เขาคงต้องการอยู่คนเดียว  ปล่อยเธอไปเสียเถอะ  อย่ายุ่งกับเธออีกเลย  เพื่อเห็นแก่อาจารย์  เขาควรยอมรับว่าคนอย่างเขาไม่อาจมอบความสุขให้แก่เธอ มีแต่จะทำให้เสียใจครั้งแล้วครั้งเล่า หากไม่ใช่ในยามเริ่มต้นก็อาจเป็นในช่วงบั้นปลาย  เหมือนเช่นทุกครั้งที่เขากล่าวอำลาผู้หญิงทุกคน  เป้าหมายในชีวิตรวมถึงอุดมคติช่างอยู่ห่างไกลเหลือเกิน เขาจำเป็นต้องเลือก มันทำให้เขาไม่อาจทุ่มเทชีวิตจิตใจให้ใคร  เขารู้ตัวดีว่าไม่สามารถอยู่เพื่อใครได้อีก แล้วเพราะอะไรกันเล่าที่ทำให้เขาต้องเลือก ในความเป็นมนุษย์  คนเราจะอยู่โดยไม่จำเป็นต้องเลือกเลยไม่ได้หรืออย่างไร  เขาครุ่นคิดด้วยอารมณ์หม่นหมอง ซึ่งต่อมาได้ผันแปรเป็นความฟุ้งซ่าน  ทำให้เขาต้องเดินออกจากห้องพัก จุดหมายอยู่ที่ล็อบบี้  ที่นั่น  เขาตัดสินใจเลือกนั่งบนเก้าอี้สตูลหน้าเคาน์เตอร์บาร์  เวลานั้นบาร์เทนเดอร์หนุ่มคนหนึ่งกำลังผสมค็อกเทลอย่างประณีต  หลังจากแสดงลีลาโยนขวดเหล้าเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้เดินผ่านไปมา

เขาขอเบียร์ขวดเล็กมาดื่มเงียบ ๆ  บาร์เทนเดอร์พยายามหาเรื่องตลกมาชวนคุย เขาแสร้งทำเป็นขบขันเพื่อเอาใจผู้เล่า  สักพักหนึ่งชายผู้นั้นก็ยอมแพ้   แล้วหันไปจัดขวดเหล้าหลากยี่ห้อบนชั้นวางด้านหลังแทน  คงไม่มีนักเล่าเรื่องตลกคนใดสามารถทำให้หัวใจอมทุกข์ของเขาหัวเราะอย่างเป็นสุขได้  ยิ่งอยู่เมืองไทยนานวันมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งปวดร้าวใจมากเป็นทวีคูณ  ความสุขที่ผ่านเข้ามาหายวับไปอย่างรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ   แล้วความคิดคำนึงถึงการได้กลับไปทำงานที่นิวยอร์กก็เข้ามาแทนที่   หลายวันมานี้เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องงานเลยแม้แต่นิดเดียว   มีเพียงภาพใบหน้าของเธอลอยล่องอยู่เสมอทว่าเขาเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าใบหน้าที่เห็นอยู่เลือนรางนั้นเป็นใบหน้าของใครกันแน่   เธอคนนั้นหรือเธออีกคนหนึ่ง   ถ้าทั้งสองรวมเป็นคนเดียวกันได้ก็คงจะดีสินะ   แต่ทันใดนั้นเอง   เขาก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น  เมื่อรับรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

เบียร์หมดขวดแล้ว  เขาใช้ปากกาลงชื่อในกระดาษที่บาร์เทนเดอร์ยื่นให้ และเมื่อจะเดินจากไปบาร์เทนเดอร์ก็ถามขึ้นเป็นทำนองว่าคืนนี้เขาวางแผนจะออกไปเที่ยวที่ไหน

“ไม่รู้สิ  ผมยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี  ไม่รู้จริง ๆ” เสียงที่หลุดจากลำคอของเขาสั่นเครือราวกับคนป่วยไข้

นาทีต่อเขาก็เดินออกไปข้างนอก  มันเป็นการก้าวเดินอย่างเชื่องช้าเหมือนนักเดินทางผู้อ่อนล้าซึ่งท่องผ่านภูมิประเทศทุรกันดารมานาน  นี่ไม่ใช่ผลพวงจากการว่ายน้ำแต่อย่างใด  ช่างเถอะ  เขาคิด  จะเป็นด้วยเหตุผลกลใดคงไม่สำคัญ  เขาเองก็ไม่อยากเข้าใจหรือใส่ใจอะไรอีกแล้ว หัวใจของเขาเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส  ทว่าคนไร้บ้านย่อมไม่มีที่ให้พักพิงถาวร 

ยามนี้บนทางเท้าริมถนนหลานหลวงเกือบจะเรียกได้ว่าว่างเปล่า  ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะสองทุ่มเท่านั้น  แตไม่ค่อยเห็นผู้คนเดินผ่านไปมา  มีเพียงหนุ่มสาวสามสี่คนกำลังยืนคุยกันอย่างไม่รู้ทุกข์รู้โศกตรงป้ายหยุดรถโดยสารหน้าร้านขายของเบ็ดเตล็ด  เขาเดินผ่านไปโดยมีสะพานผ่านฟ้าซึ่งเห็นลิบตาเป็นเป้าหมายแรก มันช่างดูห่างไกลและรางเลือนราวกับจะก้าวไปไม่ถึง  อย่างไรก็ตาม  นี่คงเป็นแค่ความรู้สึก  เพราะสุดท้ายเขาก็สามารถเดินมาจนถึงสะพานดังกล่าวในเวลาไม่นานนัก  เขาข้ามถนนโล่ง ๆ ผ่านด้านหน้าของลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์  บางสิ่งบางอย่างที่เขาพยายามซุกซ่อนไว้ภายในใจได้ชักนำให้เขาเดินมาจนถึงถนนแห่งความทรงจำ ไม่มีอะไรให้ทำในคืนนี้อีกแล้ว  นอกจากกลับมาที่นี่เท่านั้น 

เดินมาจนถึงม้านั่งยาวตัวหนึ่ง  เขาทรุดกายนั่งลง  สายตาจ้องมองรถยนต์ที่แล่นผ่านไปมาบนถนนราชดำเนินกลางอันกว้างใหญ่  พลางสงสัยว่าคนในรถพวกนั้นกำลังเดินทางไปที่ไหนกันหนอ  อาจเป็นบ้านแสนสุขอันอบอุ่น   บ้านอย่างนั้นหรือ  เขาไม่เคยมีบ้านที่นับได้ว่าเป็นบ้านจริง ๆ เลยสักหลัง  นั่นทำให้เขาอิจฉาทุกคนที่มีบ้าน แต่แล้วพลันคิดได้ว่ายังมีมนุษย์อีกมากมายนักที่ไม่เคยมีบ้านอันแสนสุข  ทั้งหมดล้วนเป็นผู้คนที่เขารู้จักคุ้นเคย  ชะตากรรมอะไรกันแน่นะ  ถึงได้กำหนดให้ทุกคนมีสภาพเช่นนี้   ต่างเติบโตขึ้นมาอย่างเจ็บปวดในที่พักอาศัยซึ่ง่ไร้เสียงหัวเราะ  แล้วยามนี้้เขาก็ได้มาพบคนเหล่านี้อีก  เขารู้สึกทรมานขมขื่นยิ่งกว่าการถูกลงทัณฑ์ใด ๆ  ได้แต่หวังว่าคงไม่มีใครต้องเจ็บปวดอีกแล้ว  ทุกคนน่าจะมีความสุขในวาระที่ได้มาใกล้ชิดกัน  เวลาสิบแปดปีอาจจะไม่นานเกินไปสำหรับการรื้อฟื้นมิตรภาพเก่าแก่ขึ้นมาทบทวน และมีความสุขร่วมกันเหมือนเดิม เสียงหัวเราะเบิกบานจะเกิดขึ้นได้อีกหรือไม่ เขาปรารถนาจะรู้เหลือเกิน  ต่อหน้าซากของโซนาต้าคลับนี้  ร่างเงาของอดีตซึ่งนอนคุดคู้อยู่ ณ อีกฟากฝั่งหนึ่งของถนนอันเก่าแก่  คืนนี้มันปราศจากแสงสีเย้ายวนใจและซ่อนตัวอยู่ในเงามืด  ไม่รับรู้เลยว่ามีใครคนหนึ่งกำลังนั่งมองดูอยู่  บางที...ใช่แล้ว  บางทีถ้าเขาเสี่ยงเดินเข้าไปข้างในนั้น  ในซากปรักหักพังนั่น  เขาอาจไม่พบอดีตใด ๆ ให้รู้สึกเลยก็เป็นได้  เขารับรู้ถึงความปรารถนาให้โซนาต้าคลับกลายเป็นความว่างเปล่า ปล่อยให้มันหายไปจากความทรงจำ ช่างเป็นความรู้สึกที่แสนประหลาด  ทั้งน่ากลัวและเศร้าสร้อย  เมื่อไม่คิดถึงมัน  มันก็อาจหายไป  แล้วทีนี้เขาก็จะมีความสุข   ทว่าเอาเข้าจริงเขาก็สำนึกได้ว่าหากมนุษย์คนใดปราศจากอดีตให้ระลึกถึง  อนาคตของมนุษย์ผู้นั้นย่อมจะมีแต่ความมืดมัวและเต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยว  ไม่ต่างจากซากชีวิตที่ถูกฝังกลบในป่าช้าของศพไร้ญาติ จะไม่มีใครมาเยี่ยมคารวะวางดอกไม้  หากเป็นเช่นนั้นก็ออกจะเป็นความเปล่าเปลี่ยวที่ชวนให้รู้สึกว้าเหว่มากเกินกว่าจะทนทานไหวเลยทีเดียว

ถนนราชดำเนินกลางในสายตาของเขาหลังจากห่างเหินไปนานแสนนาน  ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงมากนัก  กลุ่มอาคารทรงโมเดิร์นคลาสสิกสองฟากฝั่งถนนเคยดำรงอยู่อย่างไรก็ยังคงเป็นเช่นนั้น   แม้ทุกวันนี้หลายคูหาของอาคารเก่าแก่จะได้รับการตกแต่งด้านหน้าเพิ่มเติมจนดูแปลกตาไปบ้าง   แต่ถึงอย่างไรก็พอจะกล่าวได้ว่าจิตวิญญาณของมันยังไม่เปลี่ยนไป

บนท้องฟ้า เมฆดำอุ้มฝนเริ่มตั้งเค้าทะมึนคล้ายอสูรที่เตรียมจะโจมตีมนุษย์ตัวน้อย  ลมพัดแรงจนทำให้ต้นไม้สองข้างทางที่เขาไม่รู้จักชื่อสลัดใบหลุดร่วง  ใบไม้มากมายปลิวเคว้งคว้างไปในอากาศอันมัวซัว  สายลมพัดผ่านร่างของเขาไประลอกแล้วระลอกเล่า  กลิ่นอายของความหอมหวานในอดีตฟุ้งตลบ  นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาได้พลัดพรากจากแถบถิ่นนี้ไปโดยไม่คิดจะหวนคืน แต่แล้วก็มีโอกาสกลับมาเพื่อจะพบว่ามันยังมีตัวตนอยู่ ภาพในอดีตทำให้เขาต้องเผยอยิ้มออกมาอีกครั้ง  แต่ก็เป็นไปอย่างเศร้า ๆ  เขาไม่แน่ใจนักว่าตัวเองยิ้มให้แก่สิ่งใด  อดีตหรือปัจจุบัน  ความสุขหรือความทุกข์  ความจริงหรือความฝัน เขาไม่แน่ใจในอะไรเลย ครั้นแล้วก็อยากหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อตระหนักว่ามันอาจไม่มีเหตุผล  ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวของความรู้สึกเท่านั้น

ยามนี้เขากำลังรู้สึกว่าตัวเองมีทั้งความสุขและความทุกข์ปะปนกันอยู่ในหัวใจ  ความทรงจำเก่าก่อนไหลรินมาทักทายเหมือนสหายผู้เคยสนิทสนมกัน   มันค่อย ๆ เชี่ยวกรากขึ้นราวกับสายน้ำจากยอดดอยที่หลากลงสู่แม่น้ำและท้องทะเล  เขาได้แต่ไขว่คว้าทุกสิ่งทุกอย่างที่ล่องลอยผ่านมา  แม้บางสิ่งจะเป็นความขมขื่นอันยากจะลืมได้ลงก็ตาม   เขาเผลอตัวถอนหายใจหนักหน่วง   อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมหลายสิ่งหลายอย่างจึงเปลี่ยนแปลงมากเหลือเกินเมื่อเวลาเดินรุดหน้าไป   ในทางตรงกันข้าม  บางสิ่งบางอย่างกลับได้รับการเก็บงำรักษาไว้เป็นอย่างดี   

เขายังคงดิ่งจมอยู่ในห้วงความคิดคำนึง ราวกับว่าตัวเองอยู่ในโลกนี้ตามลำพัง


***

อาคารปิดตายซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นโซนาต้าคลับตั้งอยู่ตรงนั้น  นี่คือความจริงแท้อย่างไม่ต้องสงสัย  แม้จะเลิกกิจการไปนานแล้ว มันนานเสียจนเขาหลงเชื่อว่าหากได้มาเผชิญหน้ากับร่องรอยในอดีตอีกครั้ง  เขาก็คงจะไม่รู้สึกอะไรมากนัก  แต่เอาเข้าจริงหัวใจของเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย การได้กลับมานั่งมองซากของโซนาต้าคลับอย่างใกล้ชิด  ทำให้ความรู้สึกภายในจิตใจของเขาปั่นป่วนรวนเรอย่างหนักจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้

ภาพของลูกค้าฐานะดีที่เดินเข้าออกตรงประตูโซนาต้า คลับยามค่ำคืนปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเขา  ขณะก้าวเข้าไปคนพวกนี้จะพากันเดินตัวตั้งตรงด้วยท่าทางภูมิฐาน  ครั้นได้เวลาคืนสู่โลกภายนอกอันปราศจากกลิ่นเหล้าและควันบุหรี่  บรรดานักเที่ยวราตรีกระเป๋าหนักก็จะเดินแบกหน้าอันแดงก่ำโซซัดโซเซออกมาอย่างหมดท่า หลายคนส่งเสียงเอะอะโวยวายตามประสาพวกขี้เมา แม้ข้างกายพวกเขาจะมีหญิงสาวในชุดราตรีประคับประคองอย่างเอาใจใส่  ส่วนพนักงานรับรถซึ่งเป็นผู้ชายที่โดยมากเป็นคนหนุ่มก็รอเปิดประตูรถให้อย่างนอบน้อม ในใจพวกเขาเฝ้าหวังว่าคงได้รับเศษเงินสำหรับจ่ายเป็นค่าอาหารมื้อดึกและค่ารถกลับบ้าน

ทั้งหมดนี้ช่างแจ่มชัดเหลือเกิน  เขาไม่สามารถลืมอดีตได้เลยหรืออย่างไร มันยังติดตามหลอกหลอนไปถึงในความฝัน แม้กระทั่งในดินแดนอันห่างไกลอีกฟากหนึ่งของโลก  ภาพทั้งหมดล้วนฝังแน่นอยู่ในใจของเขาตลอดมา ทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้นเขาอยากรู้นัก  แต่สมองของเขาว่างเปล่าปราศจากคำตอบใด ๆ  เขาทำได้เพียงเฝ้ามองบริเวณด้านหน้าของอาคารที่เต็มไปด้วยอดีตหลังนั้น  เขามองผ่านกาลเวลากลับไปสู่ตำนานของโซนาต้าคลับ  ประเดี๋ยวหนึ่งก็ระบายยิ้มออกมาเมื่อเห็นซอยเล็ก ๆ ถัดไปทางซ้ายมือ  ซอยที่ว่านี้อยู่ติดกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล  เขาจำได้ดีว่าตัวเองเคยใช้เป็นทางลัดสำหรับเดินผ่านไปถนนข้าวสารเสมอ  และตรงปากซอยนี่เอง  ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วจะมีร้านขายอาหารตามสั่งบริการแก่ผู้หิวโหยในยามค่ำและต่อเนื่องไปจนเกือบใกล้รุ่ง เขามองเห็นภาพหนุ่มสาวคุ้นหน้าหลายคนกำลังนั่งกินอาหารระหว่างเวลาตีสองถึงตีสามของทุกคืน  หลังจากลูกค้าของโซนาต้าคลับได้พากันจากไปหมดแล้ว  แสงจากหลอดไฟทังสะเตนสีเหลืองอันเศร้าซึมที่แขวนอยู่เหนือโต๊ะอาหารสาดส่องใส่ร่างของพวกเขา หนุ่มสาวผู้ซึ่งในชีวิตพยายามแสวงหาทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเหมือนมนุษย์คนอื่น ๆ ในสังคม แม้ว่าในบางคืนอาจจะมีเพียงแค่เสียงร้องไห้ก็ตาม  ถึงอย่างไรนั่นก็คือชีวิตที่แท้จริง

เขาเศร้าใจเมื่อคิดถึงเรื่องนี้  เวลาสิบแปดปีแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย โดยเฉพาะเมื่อต้องมานั่งเผชิญหน้าอยู่กับอดีตอย่างใกล้ชิด   

“หรือว่านี่คือเรื่องราวของชีวิตที่มนุษย์อย่างเราควรยอมรับ ไม่ว่ามันจะงดงามแก่หัวใจ หรือก่อให้เกิดความทุกข์แสนสาหัสเพียงไหน  เราก็ไม่อาจปฏิเสธมันได้” เขาพึมพำออกมา บนท้องฟ้ากระแสลมยังคงพัดแรง  เขานั่งไม่ไหวติงราวกับรูปสลักหินอยู่เป็นเวลานาน  เอาแต่จับจ้องอาคารฝั่งโน้นด้วยดวงตาเศร้าสร้อย  พลันก็สงสัยในการตัดสินใจของตัวเอง  เขาคิดดีแล้วหรือที่จะทำตามแรงปรารถนาต่อไป  แต่ทำเพื่ออะไรและด้วยเหตุผลใดกันล่ะ  หรือว่าเมื่อลงมือกระทำจนสำเร็จแล้ว  มันจะทำให้คนอย่างเขามีความสุขอย่างแท้จริงขึ้นมาบ้าง จริงอยู่ว่าเขาคาดเดาไม่ได้ รู้เพียงแค่ขณะนี้ตัวเองมีความต้องการที่จะได้พบใครสักคนหนึ่ง  ส่วนเหตุผลว่าพบเพื่ออะไรนั้น  เขาหมดหวังกับการค้นหาคำตอบนี้มานานแล้ว แม้จะเชื่อว่ามนุษย์อาจหาเหตุผลให้แก่การกระทำของตัวเองได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประเสริฐหรือสามานย์สักเพียงไหนก็ตาม  เพื่อการนี้มนุษย์เราย่อมตระเตรียมเหตุผลไว้พรักพร้อมตลอดเวลา  แต่...ถ้าเป็นเช่นนั้นอย่างเที่ยงแท้  เขาก็อยากได้เหตุผลสักข้อหนึ่งไว้ใช้ในยามจำเป็นบ้างเหมือนกัน

หลายวันก่อนในห้องพักของโรงแรม หลังจากลงทะเบียนเข้าพักตอนเที่ยงวัน เมื่อได้อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยดีแล้ว  ขณะยืนมองทัศนียภาพของเกาะรัตนโกสินทร์จากระเบียงด้านหลังห้องพัก เขาครุ่นคิดยาวนานด้วยความอยากรู้ว่า  หากอาจารย์ผู้มีพระคุณยังมีชีวิตอยู่  เขาจะตัดสินใจเดินทางกลับมาเมืองไทยหรือไม่  การคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอนหลังจากห่างหายไปนานเป็นเพราะคำสั่งเสียของอาจารย์แต่เพียงประการเดียวอย่างนั้นหรือ ก่อนหน้านั้นหลายต่อหลายครั้งที่เขาเคยคิดจะกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด  แต่แล้วก็ต้องล้มเลิกเสียกลางคันทุกครั้งไป  เขามักเตือนตัวเองว่าจะกลับไปทำไมล่ะ  มีใครต้องการพบเขาอย่างนั้นหรือ  หากแม้นเขาต้องการกลับไปเพื่อจะพบกับความว่างเปล่าอันน่ากลัว  หรือความรู้สึกโดดเดี่ยวอันแสนโหดร้าย  ก็จงรีบกลับเมืองไทยเสียในทันที  เป็นเพราะเหตุใดเขาจึงคิดไปได้ถึงขนาดนั้น  เขาทบทวนความทรงจำอย่างไม่เข้าใจ บางทีนั่นอาจเป็นการเสแสร้งไม่ยอมเข้าใจ  และหลังจากได้จัดการธุระให้อาจารย์จนเรียบร้อยดีแล้ว  เขาค่อยโล่งใจคลายกังวล ความจริงมันไม่ใช่ภารกิจที่ลำบากยากเย็นแต่ประการใดเลย  เพียงแค่นำกล่องไม้สนเล็ก ๆ  ภายในบรรจุอัฐิของอาจารย์ไปมอบแก่เธอที่บ้านหลังใหม่อันเป็นสถานที่ซึ่งตัวเขาเองหรือแม้แต่อาจารย์ก็ไม่เคยไปมาก่อน  นอกจากนั้นยังมีภาพเขียนสีน้ำมันขนาดค่อนข้างเล็กที่อาจารย์บรรจงวาดไว้เป็นภาพสุดท้ายเพื่อมอบให้เธอเป็นที่ระลึก

ภาพเขียนนั้นงดงามเหลือเกิน  เขาหลับตาเห็นทะเลสาบสีน้ำเงินในบรรยากาศกึ่งจริงกึ่งฝัน  อาจารย์ใช้มุมมองจากชะง่อนผาบนภูเขา  ท่านเคยบอกว่าเขียนขึ้นจากความทรงจำ  เขารับรู้ในเวลาต่อมาว่าแท้ที่จริงนั่นเป็นฉากทะเลสาบแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของเมืองไทย ในความงดงามอย่างไม่ต้องสงสัยนั้น เธอคงได้เห็นและรับรู้  คิดถึงตรงนี้แล้วภายในหัวใจของเขาก็ไหววูบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้  พร้อมกับสงสัยว่าเธอจะเคยรู้ตัวบ้างไหม  ว่าดวงตาของเธอก็งดงามไม่แพ้กัน  หรืออาจจะยิ่งกว่า  เขาพยายามลืมดวงตาคู่นั้นด้วยความละอายแก่ใจ  พยายามบังคับตัวเองให้นึกถึงแต่ภาพเขียนของอาจารย์อีกครั้ง  จากคำบอกเล่าทำให้เขารู้ว่าภูมิประเทศในภาพเขียนดังกล่าวคือสถานที่ซึ่งอาจารย์เคยพาลูกสาวตัวน้อยไปว่ายน้ำเล่นเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนจะต้องอำลาจากกันเพียงไม่กี่วัน  โดยไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าจะมีโอกาสพบกันอีกหรือไม่ นี่คือความจริงอันแสนเศร้าของมนุษย์สองคน คนหนึ่งล่วงลับไปแล้ว  ขณะที่อีกคนหนึ่งยังคงมีชีวิตอยู่

เขารู้สึกร่วมรับรู้ไปกับความเศร้าของคนทั้งสอง   ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องราวเหล่านี้  เขามักจะสัมผัสได้ถึงความเศร้าอยู่เสมอ  ราวกับตัวเองได้เข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของเธอและอาจารย์ อาจเป็นด้วยเข้าใจดีว่าการพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักนั้น  หากรู้แน่ชัดว่าจะไม่ได้พบกันอีก ย่อมสร้างความรวดร้าวเกินกว่าความสุขใด ๆ จะเยียวยารักษาได้   

“ฝนใกล้จะตกแล้วซีนะ”

บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่เมฆฝนหนาหนักเตี้ยต่ำยิ่งกว่าเดิม  เขามองดูด้วยความกังวลเล็กน้อย ขณะใช้สองมือเสยเส้นผมยาวเคลียบ่าซึ่งปลิวปิดหน้าปิดตาเพราะกระแสลมอันเย็นชื้น เขาตัดใจจากภาพอดีตของโซนาต้าคลับ  รีบลุกขึ้นยืน  แล้วโบกมือเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง  ทันทีที่มันแล่นเข้ามาจอดเทียบทางเท้า  เขาเปิดประตูด้านหลังแล้วมุดเข้าไปอย่างรวดเร็ว

“ไปลาดพร้าว”

เขากดปุ่มข้างประตูลดกระจกหน้าต่างลงครึ่งหนึ่ง  กลิ่นอายยามค่ำคืนของเมืองหลวงหลั่งไหลเข้ามาพร้อมกับกระแสลมแรง   เขาระลึกถึงกลิ่นหอมอันคุ้นเคยนี้  มันอบอวลอยู่ในความสัมพันธ์เก่าก่อนระหว่างเธอกับเขานั่นเอง


— บางตอนจากเรื่อง โซนาต้าคลับ โดย ภพ เบญญาภา  สำนักพิมพ์ศิราภรณ์บุ๊คส์ จัดพิมพ์เป็นเล่มปี 2554

ดาวน์โหลดอีบุ๊คฉบับสมบูรณ์ คลิกลิงก์ https://goo.gl/YrKJxP

ความคิดเห็น