ผมแค่จะออกไปเดินเล่น


ตั้งแต่จำความได้ เขาก็รู้ดีว่าตัวเองนั้นมาเยือนโลกนี้ด้วยเหตุผลใด แน่นอน เขามาโลกนี้ในฐานะมนุษย์ผู้มีเสรีภาพมาตั้งแต่เกิด และต้องการใช้มันเพื่อออกไปเดินเล่นเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะอะไรกันนะ เขามักจะตั้งคำถามเช่นนี้อยู่เสมอ 

สมัยเป็นเด็ก เมื่อรู้ตัวว่าต้องไปโรงเรียนเพื่อนั่งอยู่ในห้องอันแออัดทั้งวันเหมือนกับพวกพี่ ๆ เขาเคยขอร้องพ่อกับแม่ว่า “ไม่ไปที่นั่นไม่ได้หรือ ผมไม่อยากไป ผมมาโลกนี้เพื่อการเดินเล่นอย่างมีความสุขเท่านั้น” พ่อกับแม่ทำท่าประหลาดใจแกมขบขัน เขาถึงกับร้องไห้ออกมา เขาร้องไห้อยู่เป็นเดือน และในเช้าวันแรกของการเปิดภาคเรียน ทันทีที่จะถูกจับแต่งเครื่องแบบนักเรียน เขาก็เดินหลบออกไปทางประตูหลังบ้านซึ่งอยู่ติดกับสวนสาธารณะ

“อ้าว จะหนีไปไหนกัน ไม่ได้นะ” แม่ตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิด ขณะที่พ่อหัวเราะชอบใจ แต่หยิบไม้เรียวมาหวดลมเล่นไปมา

“ผมแค่จะออกไปเดินเล่น” เขาตอบ ก่อนจะเดินน้ำตาซึมกลับเข้าบ้าน

“ไม่ได้ ลูกต้องไปเรียนหนังสือ รู้ไหมมันเป็นหน้าที่” แม่พูดพร้อมกับดึงเขาเข้าไปกอดอย่างปลอบโยนและรักใคร่

เหตุการณ์ในวัยเยาว์ครั้งนั้นเป็นแค่การเริ่มต้น เมื่อเขาเติบโตขึ้น รู้ความมากขึ้น เขาก็ตระหนักดีว่าการจะออกไปเดินเล่นให้สบายใจนั้นเป็นเรื่องทำได้ยาก ทุก ๆ ครั้งที่เขาคิดจะเดินไปไหนต่อไหน ก็จะมีการยัดเยียดคำว่า “หน้าที่” หรือเรียกร้องเอาความรับผิดชอบจากเขาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นช่วงวัยรุ่นที่เขาต้องการไว้ผมยาวแต่ทางโรงเรียนไม่อนุญาต หรือการจำใจเรียนในสาขาที่พ่อกับแม่คิดเอาไว้แล้ว ใช่ เขาอยากเป็นนักวาดรูปธรรมดา ๆ คนหนึ่งผู้บันทึกความงามของสรรพสิ่งรอบตัว แต่แล้วเขากลับต้องเลือกเรียนกฎหมายในที่สุด

“ตระกูลของเราเป็นนักกฎหมายมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่” พ่อเอ่ยขึ้นเป็นเชิงเตือนในวันหนึ่ง

“ผมไม่อยากเรียนครับพ่อ ผมขอเรียนศิลปะไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้ มันเป็นหน้าที่”

“โธ่ ผมแค่จะออกไปเดินเล่นเท่านั้น”

เขาจำต้องเลือกเดินบนเส้นทางสายที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ความอ่อนโยนในหัวใจทำให้เขาไม่อาจทำให้ผู้มีพระคุณผิดหวัง แม้กระนั้นในจิตใจเบื้องลึกก็ยังคงปรารถนาการออกไปเดินเล่นอย่างอิสระเสรี เขาเฝ้าแต่หวังว่าคงมีสักวันหนึ่ง วันที่เขาสามารถออกไปเดินเล่นได้ตามใจชอบ จะไม่มีใครมาขัดขวางหรืออ้างเหตุผลใด ๆ คัดค้านอีก ทว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะในสายตาของคนอื่นแล้ว มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่ของตนเสมอ

หลังจบการศึกษา เขายึดเอาอาชีพทนายความหาเลี้ยงชีพตามธรรมเนียมของครอบครัว ความเข้มงวดของพ่อกับแม่ทำให้เขาไม่มีเวลาใส่ใจกับเรื่องความรักเยี่ยงคนหนุ่มสาวทั่วไป ทุกวันมีแต่ความเคร่งเครียดกับการงาน ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาหลงลืมความต้องการที่จะออกไปเดินเล่นได้บ้าง งานหนักกดทับความคิดฝันของเขาไว้จนแทบจะบี้แบนติดพื้นดิน แต่แล้ววันหนึ่งมันกลับปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเขาได้รับมอบหมายจากสำนักงานให้เข้าไปดูแลลูกความคนหนึ่ง ลูกความผู้นี้ตกเป็นจำเลยในคดีข่มขืนกระทำชำเราหญิงสาวที่น่าสงสาร มิหนำซ้ำยังอ่อนแอต่อการเรียกร้องหาความยุติธรรมอีกด้วย จำเลยสารภาพความจริงต่อเขาว่าลงมือข่มขืนเธอจริงเพราะความมึนเมา ไม่ได้ถูกใส่ร้ายแต่อย่างใด เมื่อรู้เช่นนี้เขาจึงปฏิเสธที่จะแก้ต่างให้ เขาเห็นว่าชายผู้นี้สมควรสารภาพต่อศาลไปตามความจริง แทนการใช้ทนายความอย่างเขาช่วยหาช่องโหว่ของกฎหมาย หรือใช้เล่ห์กลใด ๆ มาทำให้พ้นผิด แต่หัวหน้าของเขาไม่คิดเช่นนั้น

“เป็นหน้าที่ของทนาย เป็นหน้าที่ของคุณ เข้าใจไหม คุณต้องช่วยลูกความรายนี้”

“แต่เขาผิดจริง ๆ นี่ครับ แล้วทำไมเราต้องทำให้คดีพลิกไปจากความเป็นจริงด้วยล่ะครับ”

“อ้าว ไม่งั้นเขาจะมีทนายไว้ทำไมกันล่ะ คุณก็ทำเป็นซื่อไปได้”

“ไม่ล่ะครับ ผมทำให้ดำเป็นขาวไม่ได้”

“บอกแล้วไง นี่คือหน้าที่ และคุณต้องทำ เอ๊ะ ผมพูดยังไม่ทันจบเลย นี่คุณจะไปไหน”

“ผมแค่จะออกไปเดินเล่นครับ”

“ไม่ได้ กลับมาทำหน้าที่ของคุณก่อน”

ผลสุดท้ายเขาก็ต้องว่าความให้แก่ลูกความอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คดีสิ้นสุดลงที่ชัยชนะของเขาและจำเลย ซึ่งในความรู้สึกของเขาแล้วชัยชนะครั้งนี้ก็ไม่ต่างไปจากมืออันหยาบกร้าน ที่กระชากเขาเข้าไปตบซ้ายตบขวาอย่างรุนแรง จนรวดร้าวเข้าไปถึงหัวใจ

แน่นอน เขายังคงมีหัวใจอยู่ แต่มันทำให้เขาเก็บตัวเศร้าซึมอยู่กับบ้าน ไม่คิดจะไปทำงานอีก เฝ้าแต่นึกถึงใบหน้าซีดเผือดของหญิงสาวเคราะห์ร้ายตอนฟังคำพิพากษา เขาจำหยาดน้ำตาเปียกชื้นของเธอได้เป็นอย่างดี เขารับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดซึ่งเกิดจากความพ่ายแพ้ในดวงตาคู่นั้น ดวงตาของเธอราวกับจะฟ้องว่า เขาเองคือผู้ที่ได้ข่มขืนเธอเป็นคนที่สอง และนั่นทำให้เขาสะเทือนใจยิ่งนัก จนกระทั่งอยากจะออกเดินอีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อเดินเล่นอย่างที่แล้วมา แต่เพื่อตรงไปหาหญิงสาวและปลอบประโลมให้เธอหายเศร้า เขาไม่อาจปิดกั้นหรือเก็บกดความคิดดังกล่าวเอาไว้ จึงได้ระบายให้พ่อกับแม่ฟัง

“ไม่ได้การ ลูกเรามันเป็นอะไรไปแล้ว” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นอย่างขัดเคือง “นี่คิดว่าตัวเองเป็นนักอุดมคติหรืออย่างไร”

“อย่าคิดมากเลย ลูกเอ๊ย สิ่งที่ลูกทำลงไปมันเป็นหน้าที่เท่านั้น ถ้าลูกไม่ทำ คนอื่นเขาก็ต้องทำ” แม่ทำเสียงเย็น ๆ เหมือนคนเข้าใจโลก

ในเวลาต่อมาพ่อกับแม่ของเขาก็ปรึกษากัน ทั้งสองเห็นตรงกันว่าถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะมีครอบครัว หน้าที่และความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้น ก็คงทำให้เขายุ่งเสียจนไม่มีเวลาคิดฟุ้งซ่านได้อีก

“มันจะได้ไม่มีเวลาเหลือพอจะร้องขอออกไปเดินเล่น” พ่อสรุปโดยไม่ฟังคำโต้แย้งของเขา ส่วนแม่ก็เป็นผู้สนับสนุนพ่อตลอดกาล มิหนำซ้ำยังพูดไกลไปถึงการได้อุ้มหลานอย่างกระตือรือร้น

ผู้หญิงคนที่พ่อกับแม่พาเขาไปดูตัวนั้น แม้ว่าจะมีรูปร่างหน้าตาน่ารัก อีกทั้งยังมีชาติตระกูลและการศึกษาดี แต่ไม่ได้ทำให้เขาปลาบปลื้มหรือหลงใหลอะไรเลย เขาไม่อาจทำใจได้ว่า ยุคสมัยนี้ยังมีการใช้ประเพณีคลุมถุงชนอยู่อีก

“คลุมถุงชนที่ไหนกัน” พ่อแย้งอย่างขัดใจ “ทั้งสองฝ่ายให้เวลาทำความรู้จักกันสักพัก พาน้องเขาไปเที่ยวสักสามสี่หน แล้วค่อยหาฤกษ์ยามแต่งกัน ฝ่ายโน้นเขาก็ออกจะชื่นชมเราอยู่จนออกนอกหน้า”

“ไม่แต่งไม่ได้หรือครับ ผมยังไม่พร้อม ผมอยากออกไปเดินเล่นมากกว่า ผมอยากเดินไปหาผู้หญิงที่น่าสงสารคนนั้น”

“ไม่แต่งแล้วใครจะสืบตระกูลของเรา อย่าพูดอีกว่าจะออกไปเดินเล่น มันเป็นเรื่องบ้าบอ เฮ้อ วัน ๆ เอาแต่ทำหน้าเศร้า ลืมผู้หญิงคนนั้นไปได้แล้ว”

“ผมแค่จะออกไปเดินเล่น” เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาดวงตามีแววเศร้าสร้อย รู้ดีว่าเป็นคำพูดเปล่าประโยชน์ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องแต่งงานในไม่ช้านี้ ถ้าขืนคัดค้านต่อไปอีก ไม่พ่อหรือแม่ก็ต้องเตือนสติเขาว่า “มันเป็นหน้าที่”

ในที่สุด หญิงสาวที่พ่อแม่หามาให้ก็เข้าพิธีสมรสกับเขา ทั้งสองย้ายไปอยู่ในเรือนหอซึ่งเป็นบ้านหลังกะทัดรัด ปลูกอยู่ในบริเวณเดียวกันกับบ้านหลังใหญ่ของพ่อตาแม่ยาย ชีวิตครอบครัวเยี่ยงหนุ่มสาวทำให้เขาเริ่มรู้สึกดีขึ้น เนื่องจากภรรยาเป็นคนสุภาพและช่างเอาใจ เขาจึงหลงลืมเรื่องการออกไปเดินเล่นอยู่พักใหญ่ วันหนึ่ง ๆ หากไม่ไปทำงานที่บริษัทของพ่อตาในฐานะที่ปรึกษาด้านกฎหมาย เขาก็จะพาภรรยาออกไปเที่ยวเตร่ตามสถานที่ต่าง ๆ เยี่ยงคนมีเงินทองใช้สอยไม่ขาดมือ ราวกับว่าต้องการชดเชยให้กับความปรารถนาที่เกิดขึ้นครั้งยังเยาว์ ซึ่งดูเหมือนกำลังสูญหายไปตามกาลเวลา กระทั่งเย็นวันหนึ่งภรรยาของเขาได้เอ่ยปากเรื่องการมีทายาทขึ้นมา

“เราก็แต่งงานกันมานานแล้วนะคะ ญาติ ๆ ชอบถามว่าเมื่อไหร่ถึงจะมีลูก” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา แต่ก็มีร่องรอยของการคาดคั้นขอคำตอบอยู่ในที

“เราต้องมีลูกด้วยหรือ พี่ไม่อยากมีเลย รู้สึกว่าการมีลูกจะทำให้เราขาดอิสระไปมากนะ อย่างที่เขาพูดกันว่าลูกเป็นห่วงผูกคอไงล่ะ”

ถึงตรงนี้ภรรยาของเขาก็หัวเราะ แล้วกล่าวแย้งว่า “แต่ก็มีนี่คะที่เขาบอกว่าลูกคือโซ่ทองคล้องใจ ตอนนี้พ่อกับแม่คงอยากอุ้มหลานกันเต็มแก่แล้ว เรามีแค่สองคนก็พอ จะได้เลี้ยงพวกเขาให้มีคุณภาพได้เต็มที่”

“พี่แค่อยากออกไปเดินเล่น ใช่ พี่แค่จะออกไปเดินเล่นเท่านั้น แต่พี่รู้ว่าพี่คงไม่มีเวลาสำหรับเรื่องนี้ เพราะอะไรรู้ไหมจ๊ะ” เขาถามพลางมองสบตาภรรยา

“เพราะมันเป็นหน้าที่” ภรรยาและเขาพูดขึ้นพร้อม ๆ กัน แต่เรื่องมันต่างกันตรงที่ฝ่ายหนึ่งหัวเราะอย่างขบขัน ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งแทบจะร้องไห้ออกมา

ชีวิตของเขาดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นในสายตาของผู้คนในสังคม เขามีลูกชายหญิงสองคนตามความต้องการของผู้ใหญ่และภรรยา ส่วนหน้าที่การงานตลอดจนความรับผิดชอบก็เพิ่มมากขึ้นตามอายุ

เขาเปลี่ยนจากชายหนุ่มร่างโปร่งบางกลายเป็นชายวัยกลางคนร่างอ้วนใหญ่ เส้นผมดกดำหายไปและถูกแทนที่ด้วยผมหงอกแซมอยู่บนหัว การกินดีอยู่ดีทำให้ร่างกายของเขาอุดมไปด้วยไขมันและโรคของคนชั้นกลาง ไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขข้ออักเสบ นั่นคงเป็นเพราะเขาไม่เคยได้ออกไปเดินเล่นเลย แม้บัดนี้ฐานะของเขาว่าไปแล้วคือผู้นำครอบครัวอย่างแท้จริง พวกผู้ใหญ่ในอดีตไม่ได้เข้ามาบังคับให้เขาต้องทำอะไรอีก แต่เขาก็ไม่สามารถทำตามใจชอบได้อย่างที่เคยปรารถนา เขาทำได้เพียงแค่ดูแลธุรกิจของตระกูลให้เต็มไปด้วยความมั่งคั่ง คอยดูแลลูกเมียให้เต็มไปด้วยความอบอุ่น ทั้ง ๆ ที่หากเขาจะออกไปเดินเล่นก็คงไม่มีใครกล้าคัดค้าน หรือว่าจะมีเขาเองก็ไม่แน่ใจ บางครั้งเขาก็สงสัยว่าตัวเองคงจะไม่ต้องการออกไปเดินเล่นอีกแล้วกระมัง

วันหนึ่งเขาเกิดอาการหน้ามืดในห้องน้ำและล้มลงก้นกระแทกพื้น ผลปรากฏว่ากระดูกเชิงกรานหัก ร่างกายซีกหนึ่งกลายเป็นอัมพาต พูดไม่ได้ เขาต้องนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลานานจนน่าเบื่อ ท่ามกลางการดูแลเอาใจใส่จากลูกเมีย รวมทั้งแพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาลชั้นดี อย่างไรก็ตาม อาการของเขาทรุดหนักลงเรื่อย ๆ จนถึงขั้นต้องให้อาหารเหลวผ่านท่อและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

ใครต่อใครพากันคร่ำครวญกลัวว่าเขาจะจากไป แต่เขากลับนอนยิ้มอยู่บนเตียง พร้อมกับคิดว่าคนเราส่วนใหญ่มักกลัวโลกหลังความตาย ทว่าเขาไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย มิหนำซ้ำยังคิดอย่างยินดีว่าคงถึงเวลาแล้วที่จะได้ออกไปเดินเล่นเสียที ใช่แล้ว เขาจะเดินออกจากที่นี่ ไปจากโลกนี้ เพื่อเดินเล่นตลอดกาล

“คุณหมอคะ อย่าปล่อยให้สามีของดิฉันเป็นอะไรไปนะคะ ขอให้ช่วยเต็มที่ เรื่องเงินเรื่องทองไม่มีปัญหา ครอบครัวเราจะจ่ายเต็มที่ ขอแค่ให้พี่เขายังมีลมหายใจอยู่ แม้จะนอนนิ่งอยู่อย่างนี้ก็ไม่เป็นไรค่ะ”

“ครับคุณหมอ ช่วยยื้อชีวิตของคุณพ่อผมไว้ด้วยนะครับ คุณพ่อต้องเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกเราไปอีกนาน ๆ ”

“หนูรักคุณพ่อ อย่าให้คุณพ่อตายนะคะ หนูอยากให้คุณพ่ออยู่กับหนูทุกวัน”

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลซึ่งมาตรวจเยี่ยมได้หันไปกำชับนายแพทย์คนหนึ่งให้ดูแลเขาจนสุดความสามารถ เครื่องมือทันสมัยที่ใช้พยุงชีวิตเท่าที่มีอยู่ได้ถูกนำมาใช้อย่างครบถ้วน เขาเฝ้ามองการทำงานและอากัปกิริยาของคนรอบข้างอย่างโศกเศร้าแกมผิดหวัง หรือว่าทั้งหมดนี้คือหน้าที่อีกประการหนึ่งของเขา เขาจะตายไม่ได้ใช่ไหม เขามองสบตากับนายแพทย์คนนั้น และถ้าเขาพูดได้เขาก็อยากจะพูดว่า

“เอาเครื่องช่วยหายใจออกได้ไหมครับคุณหมอ ถอดออกเถอะ ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมแค่จะออกไปเดินเล่น” 

— เรื่อง "ผมแค่จะออกไปเดินเล่น" โดย "ภพ เบญญาภา" จากหนังสือรวมเรื่องสั้นชุด "พ่อผู้ไม่อยากเดินทางไปรัสเซีย" 

ความคิดเห็น