ราชาเรื่องเศร้ากับนักสังเกตการณ์



...13.00 น. วันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 2025 


ณ หุบเขาอันเงียบสงบแห่งหนึ่งทางภาคเหนือของประเทศไทย...


ในคู่มือของนักสังเกตการณ์มีข้อห้ามอยู่หลายประการ หนึ่งในนั้นก็คือห้ามติดต่อกับบุคคลในอดีต แต่เป็นเพราะเรื่องราวของราชาเรื่องเศร้าผู้นี้ ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะทักทายเขาในบ่ายวันหนึ่ง



ชายสูงวัยดูเป็นมิตรมาก ไม่ได้ถือตัวเลยว่าเป็นนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียง เวลานั้นเขากำลังยืนท้าทายลมหนาวต่อหน้าผืนผ้าใบที่วางอยู่บนขาหยั่ง เบื้องหน้าไกลออกไปเป็นทัศนียภาพของทุ่งข้าวสีเหลืองทองก่อนการเก็บเกี่ยว พ้นจากทุ่งข้าวแล้วก็เป็นทิวเขาสลับซับซ้อนสีครามเข้มซึ่งโอบล้อมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ขณะนั้นพู่กันในมือของเขาปัดป้ายสีเหลืองสดลงบนผืนผ้าใบอย่างสนุกสนานในบริเวณที่เป็นทุ่งนา



“คุณคงจะไม่ใช่คนแถวนี้” ราชาเรื่องเศร้ายิ้มและเอ่ยขึ้นมา โดยไม่ได้ละสายตาจากภาพวาดสีน้ำมันของเขาเลย



“ครับ ผมแค่ผ่านมาเท่านั้น”



“สำเนียงของคุณก็ฟังดูประหลาดด้วยเหมือนกัน ว่าแต่คุณแค่ผ่านมาจริงหรือ แล้วคุณก็จะผ่านไปเหมือนทุกคนในโลกนี้ใช่ไหม”



เขาถามพลางยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะคว้าผ้ามาเช็ดสีที่เปรอะเปื้อนอยู่ตามนิ้วและฝ่ามือ จากนั้นก็หยิบขวดน้ำขึ้นดื่ม



“ครับ” ผมตอบรับสั้น ๆ เหมือนเดิม เพราะไม่สามารถอธิบายได้มากไปกว่านี้



“บ่ายโมงแล้ว ผมยังไม่ได้กินอาหารกลางวันเลย ถ้าคุณไม่รังเกียจก็เชิญร่วมวงกันที่ใต้ต้นยางใหญ่นั่น ผมมีขนมปังโฮลวีตกับสลัดทูน่ากระป๋องติดตัวมาด้วย รับรองว่าไม่มีสารกัมมันตรังสีปนเปื้อนอย่างแน่นอน”



“ขอบคุณมากครับ แต่ผมไม่สะดวกจะรับประทานอาหารท้องถิ่น”



ชายสูงอายุยักไหล่ จากนั้นคลี่เสื่อกกปูลาดไปบนพื้นดินใต้ต้นยางซึ่งมีเงาใบไม้ครึ้มอยู่ แล้วนั่งลงในท่าขัดสมาธิ ก่อนจะลงมือกินอาหารมื้อกลางวัน



“คุณเป็นคนที่ไหน ผมหมายถึงบ้านเกิด” เขาเอ่ยถามขึ้นเหมือนต้องการทำลายความเงียบ “คลับคล้ายคลับคลาว่าผมจะเคยพบเห็นคุณที่ไหนมาก่อน ใช่แล้ว เราต้องเคยเจอกัน เพียงแต่ผมนึกไม่ออก คนอายุมากแล้วก็เป็นยังงี้”



“นวกรุงเทพมหานครครับ”



“ใครสอนให้คุณใช้คำอะไรพรรค์นั้น ให้ตายเถอะ มหานครนั่นไม่อาจสร้างขึ้นใหม่ได้หรอก มันเต็มไปด้วยความตาย แต่ช่างหัวมัน ผมก็คนกรุงเทพฯ เหมือนกัน ดีจริงที่ได้มาเจอคนบ้านเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่ทุกวันนี้เป็นเรื่องยากไปแล้ว แต่ชีวิตมันก็ประหลาดแบบนี้เสมอนั่นแหละ”



“ขอโทษนะครับ ในฐานะที่คุณเป็นคนกรุงเทพฯ คุณรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ในวันมหาวินาศครับ”



ดวงตาของราชาเรื่องเศร้ามีอาการกระตุก มองเห็นร่องรอยของการสั่นไหวอยู่ภายในแววตาคู่นั้น เขาจ้องมองผมก่อนจะส่งเสียงครืดคราดออกมาเหมือนกับคอแห้งเสียเต็มประดา จนต้องคว้าขวดน้ำยกขึ้นจิบเสียหลายอึก จากนั้นค่อยเอ่ยขึ้นว่า



“หลายปีหลังจากกรุงเทพมหานครถูกถล่มด้วยขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ ผมก็ไม่เคยใส่ใจกับเรื่องราวของมันอีก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นบ้านเกิดของผมก็ตาม ผมเคยย่ำด้วยสองเท้าของผมไปจนทั่ว ตามตรอกซอกซอยเหล่านั้นเต็มไปด้วยความทรงจำเสมอ ส่วนเรื่องระเบิดนั่น คือความฝันในคืนหนึ่งของผมเท่านั้นเอง มันคือคืนที่เป็นเพียงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งของมนุษย์อย่างเราวันและคืนหลังเกิดโศกนาฏกรรมช่างน่าเศร้าสะเทือนใจ หรือในอีกแง่มุมหนึ่งมันก็ไม่มีสาระอันใดเลยสำหรับคนอย่างผม ยังมีเรื่องอื่นที่หนักหนาสาหัสกว่า”



“จริงหรือครับ อะไรล่ะ ที่ทำให้คุณสะเทือนใจได้มากไปกว่านั้น” ผมถามเพื่อตรวจสอบให้ตรงกับความเข้าใจ โศกนาฏกรรมในวันนั้นน่าจะเกินกว่าที่มนุษย์คนใดจะรับได้ด้วยซ้ำ แต่ดูเอาเถิด สำหรับเขาแล้วยังคงมีเรื่องราวที่ชวนทุกข์เศร้ามากกว่า นี่คือสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของผมมานานเหลือเกิน หลังจากได้ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของเขา



“จะเล่าอะไรให้ฟังนะ เรื่องมันนานมาแล้ว เย็นวันหนึ่งผมเดินกลับเข้าบ้านตามปกติ ไอ้เบิร์ดเห่าแล้วก็ร้องอี๊ดอ๊าด สักประเดี๋ยวก็กระโจนเอาขาหน้าของมันมาตะกุยใส่ชุดทำงานใหม่ของผม ผมพยายามกระโดดหลบเพราะนึกเสียดาย ถ้ากางเกงสแล็คราคาแพงจะมีรอยเล็บหมาขูดเป็นตำหนิ ภายหลังจึงกระโดดขึ้นไปยืนหลบอยู่บนเก้าอี้รับแขก แล้วล้วงเอาน่องไก่ย่างชิ้นโตในถุงโยนให้ไอ้เบิร์ดกิน พอเห็นของโปรดมันก็รีบหันไปให้ความสนใจทันที ก่อนจะใช้จมูกสีชมพูดุนน่องไก่เล่น จากนั้นก็กระโดดถอยหลังกลับ ทำซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้อยู่พักใหญ่กว่าจะเคี้ยวกินได้ แม่นั่งมองไอ้เบิร์ดกินน่องไก่ย่างด้วยสีหน้ายิ้ม แววตาดูเศร้า แต่ผมไม่ได้ใส่ใจ ยี่สิบปีต่อมาผมถึงได้รับรู้ว่า ในเย็นวันนั้นแม่กำลังหิวจนท้องกิ่ว เพราะไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน เนื่องจากไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียว เวลานั้นแม่ตกงานมาพักใหญ่แล้ว ทว่าผมกลับไม่รู้เรื่องนี้เลย ด้วยร้อยวันพันปีไม่เคยถามไถ่ทุกข์สุขของแม่ แม่นึกอิจฉาไอ้เบิร์ดที่ได้กินน่องไก่ชิ้นโตย่างมาใหม่ ๆ หอมฉุย แม่เพิ่งมาเล่าให้ผมฟังในคืนที่แม่นอนป่วยหนักอยู่ในโรงพยาบาล ผมไม่รู้หรอกนะว่าแม่เล่าให้ผมฟังทำไม แต่แม่ก็เล่าด้วยรอยยิ้มกับความทรงจำของแม่ แม่ยังจำมันได้ดีทั้ง ๆ ที่แม่เป็นโรคความจำเสื่อม พอผมรู้เรื่องนี้เข้า คนอย่างผมจะทำอะไรได้อีกเล่า นอกจากรีบวิ่งออกจากโรงพยาบาล วิ่งไปตามท้องถนน วิ่งจนเหนื่อยใจแทบขาด ผมไม่ใช่หนุ่ม ๆ แล้ว ปีนั้นอายุปาเข้าไปสี่สิบกว่า แต่ผมก็ยังคงวิ่งต่อไป พยายามมองหาร้านขายไก่ย่าง คิดว่าต่อให้ราคาน่องละเป็นพันเป็นหมื่นก็จะขอซื้อ ทว่าคืนนั้นร้านขายไก่ย่างทุกร้านปิดไฟมืดกันหมด เมื่อซมซานกลับมาโรงพยาบาล ผมก็ทราบข่าวว่าแม่จากผมไปเสียแล้ว คุณรู้ไหม หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นและตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืนในงานศพของแม่ ผมเที่ยวหาซื้อไก่ย่างเจ้าดังเจ้าอร่อยนำมาวางหน้าหีบศพของแม่ทุกวัน ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย นี่แหละคือเรื่องเศร้าของผม”



“มีเรื่องเศร้ากว่านี้ไหมครับ ในฐานะที่คุณเป็นราชาเรื่องเศร้า ผมคาดหวังว่าคุณจะมีตัวละครที่ทำให้คนฟังสะเทือนใจได้มากกว่านี้”



“อะไรนะ คุณหาว่าแม่ของผมเป็นแค่ตัวละครงั้นหรือ   แม่ไม่ใช่ตัวละครในเรื่องของผม แต่แม่มีตัวตนอยู่ในความจริงและความฝันของผมเสมอ ช่างเถอะ ยังไงแม่ก็ตายไปแล้ว เมื่อกี้นี้คุณถามว่าอะไรนะ อ้อ มีเรื่องเศร้ากว่านี้ไหม ทำไมจะไม่มีล่ะ หลังจากวันมหาวินาศ ถ้าคุณเป็นเหมือนอย่างผม คุณก็ต้องเลิกเขียนเรื่องตลกไปตลอดชีวิตเลยนั่นแหละ เอาละ ผมจะเล่าให้ฟังอีกสักเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน สมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่น อายุเพิ่งจะสิบสี่สิบห้า พ่อกับแม่แยกทางกัน แล้วตามสูตร พ่อต้องมีเมียใหม่ พ่อบังคับให้ผมเรียกหล่อนว่า “น้าลอร่า” โคตรแม่ง หล่อนชอบบอกว่าหล่อนเป็นนักเรียนเก่าฟิลิบปินส์ แถมยังชอบพูดไทยคำปนอังกฤษคำด้วยความกระแดะอยากเป็นแหม่ม ตอนนั้นผมมักจะไปหาพ่อช่วงปิดภาคเรียนเสมอ ก็ไปค้างคืนครั้งละหลายวันด้วยความคิดถึงพ่อ แล้วรู้อะไรไหม เวลาพ่อไม่อยู่บ้าน หล่อนชอบนุ่งผ้าขนหนูสีขาวเดินผ่านหน้าผมไปมา มันใกล้เสียจนได้กลิ่นสบู่ที่หล่อนเพิ่งถูตัวตอนอาบน้ำเลยทีเดียวเชียวแหละ แล้วหลายครั้งหล่อนจะนั่งไขว่ห้างต่อหน้าผมในชุดอย่างนั้น ผมยอมรับว่าเรือนร่างขาวอวบของหล่อนทำให้เลือดลมของผมในฐานะเด็กหนุ่มพลุ่งพล่าน ด้วยความที่ตอนนั้นผมยังบริสุทธิ์ผุดผ่องยังกับนักบุญอยู่เลย แต่สิ่งที่ทำให้ผมหมดอารมณ์ก็คือคำพูดที่หล่อนพ่นออกมา ส่วนใหญ่ถ้าไม่จิกกัดแม่ของผมก็ต้องเป็นถ้อยคำตอแหลอวดอ้างความวิเศษของหล่อน ผมนึกเกลียดหล่อนจับใจ แล้ววันหนึ่งเราก็เกิดทะเลาะกันขึ้นมา เพราะหล่อนหาว่าผมแอบดูหล่อนอาบน้ำ หล่อนคงไม่พอใจที่ผมไปได้ยินหล่อนคุยกับชายหนุ่มบ้านติดกัน ท่าทางของหล่อนตอนคุยกับไอ้หมอนั่นดูระรี้ระริกชอบกล แต่ผมก็ไม่ทันได้เล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง เพราะหล่อนฉวยโอกาสเมื่อพ่อกลับมาในตอนเย็น ด้วยการฟ้องและโวยวายลั่นบ้านราวกับหญิงวิกลจริตบนเวทีประท้วงทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษ (ก่อนการระเบิดครั้งนั้น) มันน่าผิดหวังที่พ่อเข้าข้างหล่อนและยกให้หล่อนเป็นฝ่ายถูก แถมยังบังคับให้ผมยอมรับผิดอีกด้วย สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายเดินหอบหิ้วกระเป๋าจากมาโดยไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกจากปาก ผมพูดอะไรไม่ได้หรอกในตอนนั้น เพราะมันจะเป็นน้ำเสียงที่สั่นเครือ แล้วถ้าฝืนพูดออกไป ผมก็อาจจะถึงขั้นหมดเรี่ยวแรงต้องทรุดตัวนั่งลงร้องไห้เลยก็เป็นได้ ซึ่งนั่นจะทำให้พ่อเห็นว่าผมเป็นคนอ่อนแอ เชื่อไหม นับตั้งแต่เป็นพ่อเป็นลูกกันมา ผมเคยโกรธพ่ออยู่บ่อย ๆ เมื่อถูกพ่อขัดคอและดูถูกว่าผมเป็นคนจำพวกขี้โม้โอ้อวด แต่นั่นก็เทียบกับเรื่องนี้ไม่ได้เลย ประมาณห้าปีหลังจากนั้น พ่อพยายามกลับมาติดต่อผมอีก จนผมต้องคอยหลบหน้าพ่ออยู่เสมอ วันหนึ่งผมกลับจากมหาวิทยาลัยก็เห็นว่าพ่อกำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขกตามลำพัง ไม่รู้ว่าพ่อเข้ามาในบ้านได้อย่างไร บางทีพ่ออาจจะเก็บลูกกุญแจไขเข้าบ้านหลังนั้นไว้เป็นอย่างดีตลอดมาก็เป็นได้ ผมรู้สึกตกใจและขุ่นใจไปพร้อมกัน พ่อดูโทรมแถมยังแก่ไปมากทีเดียว เส้นผมขาวเต็มศีรษะ ไม่ดกดำเหมือนภาพในความทรงจำ ผมถึงกับหัวเราะเยาะที่พ่อถูกอีนางตอแหลนั่นเล่นงานเสียงอมพระราม ผมจำได้ว่าพ่อยิ้มแห้ง ๆ เหมือนแก้เก้อ และพยายามชวนคุยเกี่ยวกับเรื่องในวัยเด็กของผม ราวกับพ่อต้องการทำให้ผมจำได้ว่า ในวัยเด็กเราสองคนเคยสนิทสนมกันมาก่อน ผมเคยขี่หลังพ่อเล่น เคยไปว่ายน้ำด้วยกันในแม่น้ำเจ้าพระยา และยังเคยติดสอยห้อยตามเวลาพ่อไปเยี่ยมบ้านเพื่อนสนิท นอกจากนี้ก็ยังเคยไปเที่ยวเขาดิน ไปนั่งเรือถีบ สารพัดเรื่องที่เราเคยมีความสุขร่วมกันฉันพ่อลูก แล้วอยู่ดี ๆ พ่อก็ลื่นตกจากเก้าอี้รับแขก ยกมือกุมหน้าอก ปากบิดเบี้ยว พ่อพูดตะกุกตะกักขอความช่วยเหลือด้วยน้ำเสียงที่ขาดเป็นห้วง ๆ ทีแรกผมตกใจเหมือนกันจนทำอะไรไม่ถูก ภายในใจคาดไม่ถึงว่าไม่เจอกันเพียงไม่กี่ปี พ่อก็กลายเป็นคนป่วยไปเสียแล้วหรือนี่ ดูเหมือนพ่อจะเป็นโรคหัวใจ ผมควรทำอย่างไรดีนะ ไม่ใช่ในฐานะลูกแต่ในฐานะมนุษย์์ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเดินออกจากบ้านมาโดยไม่หันหลังกลับไปมองพ่อแม้แต่แวบเดียว เหมือนกับที่ผมเคยทำเมื่อตอนอายุสิบห้า นับเป็นการจากกันโดยไม่มีคำอำลาอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังเมื่อผมแต่งงานมีลูกสาวก็เพิ่งมาเข้าใจในความรักของพ่อที่มีต่อลูก ผมจึงสำนึกเสียใจในฐานะคนบาป ผมไม่ควรนำเอาเรื่องราวในอดีตมาปะปนกับปัจจุบันหรืออนาคต แต่จะแปลกอะไรล่ะ ขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ลูกนั้น ลูกที่ไม่เคยมีใครกล้าประกาศความรับผิดชอบ หลังจากมันได้สังหารผู้คนไปร่วมหกล้าน ประเทศของเราก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ก็อย่างที่คุณรู้”



“แล้วพี่น้องหรือญาติ ๆ ของคุณล่ะ พวกเขาไม่รุมประนามคุณแย่หรือ” ผมซักถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น



“วันนั้นไม่มีใครอยู่บ้านเลย มีแต่ความตายของพ่อเท่านั้นที่เป็นพยานในความชั่วร้ายของผม แล้วไงล่ะ ต่อให้พวกเขารู้และอยากด่าว่าผม ถึงอย่างไรพ่อก็ไม่อาจสลัดความตายทิ้งเพื่อหวนกลับมามีชีวิตใหม่ได้ เอาเถอะ สมมุติว่าบรรดาญาติพี่น้องรู้ว่าผมได้ทำอะไรไว้หลังกำแพงแห่งความชั่วร้ายนั่น พวกเขาก็จะรุมประณามผมได้ไม่นานนักหรอก เพราะอีกยี่สิบเจ็ดปีต่อมา ไอ้ระเบิดนิวเคลียร์นั่นจะทำให้ลิ้น ปาก   เนื้อหนัง และกระดูกของพวกเขา ระเหิดหายกลายเป็นไอในชั่วพริบตา คุณก็เห็นผลงานระดับพระเจ้าของมันเหมือนกับผม แม้จะทางภาพถ่ายและภาพวิดีโอเสมือนจริงก็เถอะ ผมได้แต่หวังว่าพวกเขาจะไม่เจ็บปวดนะ มันรวดเร็วมาก ผมไม่อยากให้พวกเขาทรมานเแม้แต่นิดเดียว”



“คุณเคยคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากหรือเปล่า ที่ไม่ได้อยู่ที่นั่นในวันมหาวินาศ ผู้ที่รอดชีวิตจำนวนไม่น้อยคิดเช่นนั้น”



“ถูกต้อง ผมโชคร้ายมาก หลังแม่ตายผมก็เนรเทศตัวเองมาอยู่ที่นี่ตามลำพังโดยไม่ได้พาลูกเมียมาด้วย คุณก็คงเห็นแล้วว่ามันเป็นอำเภอเล็ก ๆ ในหุบเขา ผมชอบที่นี่จริง ๆมันสงบเงียบเป็นธรรมชาติ ฝุ่นกัมมันตรังสีก็ลอยมาไม่ถึง น้ำและห่วงโซ่อาหารยังบริสุทธิ์อยู่ ว่างจากการเขียนหนังสือผมก็มักจะออกมาวาดรูปเล่นเหมือนวันนี้ ที่นี่ผมได้ฟื้นฟูทักษะการวาดรูปขึ้นใหม่ แม้จะไม่ดีเหมือนเก่า ใช่แล้ว มันไม่ดีเหมือนสมัยก่อน นั่นเป็นเพราะว่าภาพในอดีตย่อมงดงามกว่าภาพในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าปัจจุบันอาจจะดีกว่าอดีตก็ตาม ดูทุกวันนี้สิ บ้านเมืองของเรากลายเป็นสถานที่สะอาดหมดจด ขยะบนพรมและใต้พรม ต่างก็ได้รับการเก็บกวาดจนเหี้ยนจากไอ้ขีปนาวุธลูกนั้น บางทีพระเจ้าก็ไม่ได้ใจร้ายใจดำเสียทีเดียวหรอก พวกที่เหลือรอดมาได้กลายเป็นมนุษย์ขึ้นเยอะ ผมหมายถึงมนุษย์ในความหมายที่เรารู้ ๆ กันอยู่นะครับ ไม่ใช่แค่สัตว์ที่ห่อหุ้มด้วยหนังของมนุษย์ หรือเป็นมนุษย์ลึกลงไปแค่ชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น นี่ทำให้ผมคิดว่ามันเป็นของขวัญจากพระเจ้าอย่างที่เคยเขียนไว้ในบทความชิ้นหนึ่งเมื่อปีก่อน จนทำให้พวกสัตว์มนุษย์ต่างก็รุมแช่งชักหักกระดูกผมเป็นการใหญ่ผมรู้เรื่องนี้ดี ว่าง ๆ ผมก็ตามข่าวสังคมในโลกเสมือนจริงผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเหมือนกัน เพียงแต่ไม่เคยเข้าไปสิงสถิตทั้งวันทั้งคืนเหมือนคนอื่น ๆ เท่านั้น”



“คุณคิดว่ารัฐบาลของคุณจะหาคนผิดมาลงโทษได้ไหม การตามล่าหาความจริงจะได้ผลหรือเปล่า”



“หลายปีมานี้ คุณก็เห็นว่าชาติมหาอำนาจยังคงนั่งอมดุ้นจรวดของพวกมันกันเฉยอยู่ ผมเชื่อนะ ว่าคงจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเผลอทำหลุดออกมาจากเรือดำน้ำในมหาสมุทรอินเดีย ตามที่นักข่าวรายงานไว้ จะด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ จากนั้นบรรดาประเทศที่รู้ความลับเรื่องนี้ก็สุมหัวเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน คนที่ตายก็ตายฟรีไป เป็นการตายและจัดฌาปนกิจให้เสร็จสรรพโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย มีเพียงพวกที่ไม่ตายทันทีเท่านั้นที่ทรมานหนักหน่อย แต่จะทำยังไงได้ล่ะ โลกของเราเปลี่ยนไปมากนับจากสมัยที่ผมยังเด็กอยู่ ทุกวันนี้ระเบิดนิวเคลียร์ถูกสร้างขึ้นมากมายจนประเทศมหาอำนาจก็ยากที่จะควบคุม ป่านนี้พวกนักศึกษาหัวรุนแรงคงสร้างระเบิดนิวเคลียร์ขนาดกระป๋องในสโมสรนักศึกษาได้แล้วด้วยซ้ำ”



“ในยุคสมัยของคุณ คำถามยอดนิยมก็คือ...ถ้าเปลี่ยนวันและเวลาที่หัวรบนิวเคลียร์ถล่มกรุงเทพมหานครได้ คุณจะเลือกเอาวันเวลาไหน”



“ทำไมคนเราถึงชอบใช้คำว่า ‘ถ้า’ กันบ่อย ๆ นะ ผมอยากให้บ้านของไอ้ลูกอีถ้าพวกนี้ แม่งโดนนิวเคลียร์ถล่มอีกสักคนละลูกสองลูกเหลือเกิน มนุษย์เรานี่มันต้องถูกโบยตีสั่งสอนบ้างเหมือนกัน ไม่ต่างจากที่ชาวเมืองโซดอมเคยโดนมาก่อนในประวัติศาสตร์ หรือคุณว่ายังไง คิด ๆ ดูแล้ว ผมก็อยากจะเชื่อว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ จริง ๆ นะ อ้อ คุณยังต้องการคำตอบอยู่ไหม ต้องการงั้นรึ เอาเป็นว่าถ้าเปลี่ยนวันและเวลาได้ ผมก็จะขอให้มันเป็นวันเดิมนั่นแหละ วันที่พ่อมาหาผมที่บ้าน ให้วันนั้นระเบิดนิวเคลียร์ระเบิดเหนือกรุงเทพฯ สักหนึ่งนาทีก่อนหน้าที่ผมจะเดินจากพ่อมา แล้วคุณล่ะ ผมขอถามกลับบ้าง”



“ผมตอบไม่ได้ ชีวิตของผมอยู่ห่างไกลจากเหตุการณ์ในวันนั้นมากครับ ผมเป็นแค่นักสังเกตการณ์” ตอบไปแล้วผมก็รู้สึกตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล



“นับว่าคุณโชคดี ส่วนผมโชคร้าย แต่ในความโชคร้ายยังมีโชคดีที่...คุณต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่นำเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟัง ความจริงคือ...ลูกสาวของผมซึ่งขณะนั้นเรียนอยู่กรุงเทพฯ ได้ไปทัศนศึกษาที่โตเกียวดิสนีย์แลนด์พอดี หลังจากวันมหาวินาศก็ไม่ได้กลับมาเมืองไทยอีกเลย ผมเองที่ไม่ยอมให้เธอกลับ ใครจะไปรู้ล่ะ อาจมีขีปนาวุธลูกที่สองตามมาก็ได้ในอนาคต”



“นับเป็นข่าวดีจริง ๆ ผมยินดีด้วยที่คุณไม่ได้สูญเสียสมาชิกในครอบครัวไปทั้งหมด ว่าแต่คุณเคยไปเยี่ยมลูกสาวบ้างหรือเปล่า ดูเหมือนจะไม่เคยนะครับ คุณไม่ได้ออกนอกประเทศมานานมากแล้ว” ผมเอ่ยถามโดยพยายามไม่แสดงสีหน้า แม้จะรู้สึกสะเทือนใจก็ตาม



“คุณเป็นใครกันนี่ เป็นนักสืบหรือไง แต่ช่างมันเถอะ ความจริงก็คือผมรอให้ลูกผมโตพอเสียก่อน โตพอที่จะคุยกันรู้เรื่อง ตอนนี้เธอยังคิดถึงแม่ของเธอเสมอ และจินตนาการว่าชีวิตกำลังดำเนินอยู่ในนิทานเศร้า ๆ ที่ผมเขียนครับ เธอเคยขอร้องให้ผมกลับไปเขียนเรื่องตลก ลูกสาวของผมอยากหัวเราะอย่างมีความสุขมากกว่า เธอไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องตลกเป็นเพียงมายา ต่างไปจากเรื่องเศร้าที่เป็นความจริง เธอช่างไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน คุณรู้อะไรไหม การได้คิดว่าเธอยังอยู่ที่ต่างประเทศ ช่วยทำให้ผมยังคงมีชีวิตอยู่ต่อมาได้   ผมจะไม่เสียใจเลย ถ้าวันหนึ่งเธอกลับมาหาผม แล้วโยนไก่ย่างให้หมาตัวโปรดของเธอกิน ในขณะที่ผมหิวท้องกิ่วเพราะไม่มีเงินสักบาท ต่อหน้าต่อตาผมนี่แหละ”



“หากเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น ลูกสาวคุณจะเป็นฝ่ายเสียใจมากกว่า”



“ผมจะไม่บอกเธอหรอก ผมไม่อยากเห็นเธอเสียใจ ถ้าผมไม่ทำให้เธอเสียใจ บางทีในวันหนึ่งเธอจะไม่เดินหนีผมไปในตอนที่ผมกำลังจะสิ้นใจ แล้วเธอก็จะไม่ต้องทนทุกข์หมกไหม้ไปกับเรื่องราวเหล่านั้นเมื่อสำนึกได้ในภายหลัง และสุดท้ายเธอจะไม่อธิษฐานขอให้ไฟบรรลัยกัลป์มาแผดเผาความผิดบาปของตัวเอง น่าเศร้าที่มันพลาดเป้าหมายไปไกลทีเดียว คุณคิดว่าผมควรอธิษฐานใหม่อีกสักครั้งดีไหม”



“ผมไม่แน่ใจ ผมไม่ใช่พระเจ้า”



“แล้วถ้าผมขอร้องคุณ แทนที่จะเป็นพระเจ้าล่ะ”



“ขอร้องเรื่องอะไรหรือครับ” ผมถามด้วยความสงสัย



“ขอร้องในฐานะที่เราเคยพบกันมาก่อนยังไงเล่า ผมจำคุณได้แล้ว ผมเพิ่งนึกออกว่าเราเคยพบกันมาก่อน ครั้งแรกก็ตอนที่ผมเดินออกจากบ้านพ่อแล้วไม่เคยกลับไปอีก คุณยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูหน้าบ้านเท่าไรนัก เสื้อผ้าก็สวมชุดประหลาด ๆ เหมือนวันนี้ ส่วนครั้งที่สองก็ตอนที่ผมวิ่งไปตามถนนหาซื้อไก่ย่างให้แม่ คุณแต่งตัวแบบนี้ยืนอยู่หน้าโรงพยาบาล ว่าแต่เครื่องมือแปลก ๆ ที่แขนของคุณทำอะไรได้บ้างล่ะ”



“ผมคิดแล้วว่าคุณต้องถาม มันทำได้หลายอย่างที่คุณหรือคนรุ่นคุณไม่มีวันเข้าใจ”



“ถ้ามันช่วยทำให้โลกนี้มีความสุขได้ก็คงดีสินะ อ้อ จะลำบากใจไหม ผมพอเดาได้แล้วว่าคุณเป็นใคร ผมอยากให้คุณกลับไป...ถ้าคุณจะกรุณาหรอกนะ ช่วยกลับไปในวันเหล่านั้น ผมเชื่อว่าคุณทำได้ เลือกวันและเวลาที่เหมาะสม วันไหนก็ได้ก่อนที่ความผิดบาปจะบังเกิดขึ้น เมื่อเจอผม เห็นหน้าผมก็อย่าถือว่าเราเคยรู้จักกัน ผมเป็นเพียงคนบาป ส่วนคุณคือผู้ปลดปล่อย จงจัดการผมในทันทีที่ทำได้ ไม่ว่าผมจะหวาดกลัวเพียงใดก็ตาม ต่อให้ผมร้องขอชีวิตก็อย่าได้แยแส มันไม่บาปหรอก เพื่อทุกคนจะรอดพ้นจากไฟนรกลูกนั้น”



“เป็นไปไม่ได้ครับ” ผมส่ายหน้าพร้อม ๆ กันกับที่หลบสายตาเขา “มันจะเป็นการแทรกแซงจากภายนอก ในฐานะนักสังเกตการณ์ นี่ถือเป็นเรื่องต้องห้าม แค่นี้ผมก็มีโทษหนักมากแล้วหากพวกเขาจับได้ เสียใจด้วยครับ”



“คิดดูให้ดี ถือเสียว่าผมขอร้องในนามทวดของทวดคุณก็แล้วกัน ถ้าเราสามารถนับญาติกันได้ กรุณา...”



อย่างฉับพลันผมก็จากมาไกล โดยทิ้งราชาเรื่องเศร้าไว้เพียงลำพังในหุบเขาแห่งนั้น แต่คำขอร้องของเขายังคงแว่วสะท้อนอยู่ในหัวใจของผม จนเกิดคำถามตามมาว่า ผมควรเสียสละตัวตนเพื่อเขาไหม และเมื่อถึงที่สิ้นสุดแล้ว เขาจะได้พบกับสันติสุขสมใจปรารถนาหรือไม่.




— "ราชาเรื่องเศร้ากับนักสังเกตการณ์"  จากหนังสือรวมเรื่องสั้นชุด "สะพานรวมเมฆ" โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์ สำนักพิมพ์ศิราภรณ์บุ๊คส์จัดพิมพ์ ปี 2015


สนใจอ่านฉบับอีบุ๊ก คลิก
สะพานรวมเมฆ

ความคิดเห็น