แล้วคืนวันก็ผันผ่านไปเช่นที่มันเคยเป็นมาในประวัติศาสตร์หรือในนิทาน เรื่องราวมากมายผ่านมาและจากไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ส่งเสียงกระโตกกระตากให้เรารู้ นอกจากในวันที่มีใครบางคนสะดุดหยุดคิดและตกใจกับการผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้น ผมเองก็เช่นกัน อาจจะเคยถามตัวเองว่า มาทำอะไรในเมืองอันร้อนอบอ้าวและเต็มไปด้วยฝุ่นดำแห่งนี้ ทว่าก็ไม่เคยมีคำตอบใด ๆ ผุดโผล่ขึ้นมา ด้วยชีวิตในเมืองฝุ่นมีสภาพในแบบที่มันต้องการให้เป็นไป กล่าวคือหลังแต่งงานผมได้รับมอบหมายจากพ่อตาให้ทำหน้าที่คอยปัดฝุ่นที่มาเกาะข้าวของเครื่องใช้ โต๊ะ ตู้ หรือเตียง ตลอดจนซอกมุม ร่องรู สถานที่ซึ่งฝุ่นดำมักจะฉวยโอกาสเข้าไปยึดเป็นที่พักพิง ผมได้ไม้ขนไก่มาด้ามหนึ่ง อาวุธประจำกายซึ่งผมเที่ยวได้ถือตบ ๆ ปัด ๆ ไปทั่ว ตั้งแต่ประตูหน้าบ้าน ห้องรับแขก จนถึงประตูห้องครัวท้ายบ้าน เมื่อได้เวลาอาหารก็กินข้าวที่แม้จะพยายามหุงอย่างไรก็ยังคงมีฝุ่นดำปนเปื้อนให้เห็นอยู่เสมอ แต่นานวันเข้าผมก็เคยชินและอยู่กับมันได้เหมือนผู้คนทั่วไปในเมืองนี้ หลายครั้งยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าฝุ่นดำทำให้อาหารแต่ละจานมีลักษณะเฉพาะถิ่น พวกชาวบ้านบอกว่าถ้าไม่มีฝุ่น ข้าวก็จะไม่อร่อยอีกต่อไป “ชิมดูสิ สัมผัสได้ไหม ว่ามันมีรสหวานเจืออยู่จาง ๆ” ทุกคนในเมืองล้วนยืนยันเช่นนั้น
- จากเรื่อง "เมืองฝุ่น" ในหนังสือรวมเรื่องสั้นชุด "สะพานรวมเมฆ" 2015

ความคิดเห็น